(สรุปรายงานวิจัย เรื่อง การเติบโตของ Fintech กับโอกาสการสร้างเศรษฐกิจที่พัฒนาอย่างทั่วถึง (The Growth of Financial Technology and Its Potential for Inclusive Economy) โดย สฤณี อาชวานันทกุล บริษัท ป่าสาละ จำกัด, สิงหาคม 2560 | รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การจัดทำและเผยแพร่ชุดงานวิจัยเพื่อส่งเสริมการพัฒนา “การธนาคารที่ยั่งยืน”” สนับสนุนโดย มูลนิธิมั่นพัฒนา)
ศักยภาพของฟินเทคในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน
ปัจจุบันปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศด้อยหรือกำลังพัฒนา ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการขาดการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, 2558)
สาเหตุที่คนยากจนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการของธนาคารที่แพงเกินไป สาขาธนาคารหรือตู้เอทีเอ็มที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรืออยู่ห่างไกลจากชุมชน การที่ธนาคารมีแนวโน้มปฏิเสธการให้บริการคนยากจนมากกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น เนื่องจากไม่คุ้มค่ากับต้นทุนการบริการ รวมทั้งทัศนคติของคนยากจนเองที่มองว่า ตนมีเงินน้อยเกินกว่าที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้บริการทางการเงินในระบบ (Life SREDA VC, 2016)
การขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ (IMF, 2016) ที่ผ่านมาผลการศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับจุลภาคและระดับมหภาค โดยในระดับจุลภาค พบว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของครัวเรือน โดยการทำให้คนยากจนและผู้ด้อยโอกาสสามารถทำธุรกรรมการเงินพื้นฐานได้ด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผล เปิดโอกาสให้พวกเขามีเงินออมเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายในอนาคต เช่น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าการศึกษา หรือใช้เป็นเงินทุนในการประกอบและขยายธุรกิจ รวมถึงลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ (Robert, et al., 2014)
เนื่องจากจุดเด่นของ ‘ฟินเทค’ (เทคโนโลยีการเงิน ย่อมาจาก Financial Technology) สมัยใหม่ คือการลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับบริการทางการเงิน ด้วยเหตุนี้ฟินเทคจึงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงมากในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยปัจจุบันฟินเทคได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินเกือบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ความรวดเร็วในการให้บริการ ความปลอดภัยและความโปร่งใสในการทำธุรกรรม รวมไปถึงเปิดโอกาสให้เกิดโมเดลธุรกิจทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่ทำให้กลุ่มคนยากจนหรือคนรากหญ้าสามารถเลือกใช้บริการทางการเงินที่มีคุณภาพ ในราคาที่สมเหตุสมผล และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำไปใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการก็สามารถส่งมอบบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ในอัตราต้นทุนที่ต่ำลง และสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรากหญ้าอันเป็นโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล (FI2020, 2016)
ศักยภาพของฟินเทคในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินสามารถสรุปได้ดังนี้
• ฟินเทคทำให้กระบวนการตรวจสอบและยืนยันตัวตนลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ฟินเทคช่วยขยายขอบเขตการให้บริการ โดยการขจัดปัญหา “ไมล์สุดท้าย”
• ฟินเทคทำให้ระบบธุรกรรมชำระและโอนเงินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
• ฟินเทคทำให้กลุ่มลูกค้าฐานรากสามารถฝาก-ออมเงินได้โดยมีต้นทุนต่ำและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
• ฟินเทคเปลี่ยนแปลงแนวทางในการพิจารณาสินเชื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยมักไม่สามารถขอสินเชื่อจากการเงินในระบบได้คือ การขาดประวัติทางการเงินที่น่าเชื่อถือซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาสินเชื่อ ด้วยเหตุนี้ ฟินเทคจึงมีส่วนช่วยขยายการเข้าถึงบริการสินเชื่อได้โดยการเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการทางการเงินเข้าถึงฐานข้อมูลดิจิตอลของลูกค้าได้จากหลากหลายแหล่ง และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการประเมินสินเชื่อ เช่น ข้อมูลธุรกรรมการชำระเงินในอดีต ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแบบทดสอบเชิงจิตวิทยา (Psychometric Test) ข้อมูลจากบริษัทให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และข้อมูลระบุพิกัดตำแหน่งของผู้ใช้งาน เป็นต้น ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลมหาศาลนี้ส่งผลให้ผู้ให้บริการสามารถประเมินสินเชื่อกลุ่มลูกค้าที่ขาดข้อมูลหรือประวัติทางการเงินได้ ในขณะเดียวกัน ฟินเทคก็เพิ่มช่องทางการปล่อยสินเชื่อ โดยอาศัยนวัตกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงนวัตกรรมอื่นๆ เช่น เทคโนโลยีจ่ายเมื่อใช้งานจริง (Pay-as-you-go) หรือการให้สินเชื่อแบบบุคคลต่อบุคคล (Peer-to-peer Lending) ที่ทำให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถขยายตลาดสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าฐานรากได้มากขึ้น และคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลงได้
ฟินเทคยังช่วยลดความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อโดยการทำให้ระบบการตรวจจับการทุจริตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบตัวตนลูกค้าระหว่างแหล่งข้อมูลได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การจัดตั้งศูนย์รวบรวมการทุจริตในประเทศอินเดีย ที่เปิดให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถบันทึกและแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการทุจริตต่างๆ และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้ รวมทั้งช่วยให้ผู้ปล่อยสินเชื่อมองเห็นความเคลื่อนไหวของธุรกรรมการเงินได้ตลอดเวลา และตรวจจับพฤติกรรมการทุจริตได้ง่ายยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา รูปแบบการให้บริการของธุรกิจฟินเทคที่แพร่หลายมากที่สุดคือ กลุ่มการชำระและโอนเงิน (Payments/Transfers) สาเหตุที่ผู้ให้บริการหลายรายเลือกที่จะเจาะตลาดลูกค้าฐานล่างโดยเริ่มจากบริการชำระและโอนเงินนั้น เป็นเพราะบริการดังกล่าวมีข้อได้เปรียบกว่าบริการแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน กล่าวคือ ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางระยะไกลเพื่อรับ-ส่งเงินหรือชำระค่าสินค้า ทำให้พวกเขาประหยัดต้นทุนในการเดินทางและเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถทราบได้ทันทีว่าธุรกรรมทางการเงินที่ตนทำนั้นสำเร็จด้วยดีหรือไม่ การเริ่มต้นจากระบบการชำระและโอนเงินจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความเชื่อใจของลูกค้าต่อฟินเทค จากนั้นผู้ให้บริการก็อาจขยายการให้บริการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การทำประกันภัย
การปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ
ผลการสำรวจมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของบริการธนาคารออนไลน์
ฟินเทคจะสามารถเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศได้อย่างยั่งยืนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน รวมถึงความโปร่งใส การกำกับดูแลที่ได้ ‘สมดุล’ ระหว่างการกำกับมิให้ผู้ให้บริการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้มีรายได้น้อย และเปิดพื้นที่ให้เกิดนวัตกรรมและการทดลองใหม่ๆ เพื่อยกระดับบริการทางการเงิน นอกจากนี้ ยิ่งฟินเทคเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการ ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลดิจิตอลจากผู้ใช้มากเพียงใด ระดับความปลอดภัยและมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวก็จะยิ่งทวีความสำคัญเพียงนั้น
ปัจจุบันบริการธนาคารออนไลน์ในไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงการส่งเสริมจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ภาคเอกชนและภาครัฐ จากการสำรวจของบริษัทนีลเส็นผ่านยอดการใช้ข้อมูล (Data Consumption) ในช่วงไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2559) พบว่า นอกจากอัตราการเติบโตของการทำธุรกรรมธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังมีการจัดอันดับของการใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคาร (Mobile Banking) 10 อันดับแรกพบว่า มีผู้ใช้ธนาคารกสิกรไทยมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 รองลงมาคือธนาคารไทยพาณิชย์ มีสัดส่วนร้อยละ 11 อันดับที่ 3 คือ ธนาคารกรุงเทพ สัดส่วนร้อยละ 9 และอันดับที่ 4 คือ ธนาคารกรุงไทย มีสัดส่วนร้อยละ 8
เบื้องต้นอาจดูเหมือนว่าการทำธุรกรรมออนไลน์ช่วยลดขั้นตอนในการทำธุรกรรมที่ธนาคารด้วยตนเองเท่านั้น แต่ความจริงแล้วธุรกรรมออนไลน์ยังเกี่ยวข้องกับอีกหลายส่วน โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งต่างส่งผลต่อการทำธุรกรรม รวมถึงระดับความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้โดยทั่วไป การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ไม่ง่ายนัก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากวิธีการเปิดเผยข้อมูลของผู้ให้บริการและข้อจำกัดเกี่ยวกับความรู้ทางเทคนิค ทั้งที่เป็นข้อมูลสำคัญ
งานวิจัยนี้จึงมุ่งสำรวจมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของบริการธนาคารออนไลน์ ซึ่งได้แก่ บริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ (E-banking) และผ่านแอพพลิเคชั่น (Mobile Banking) เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นแก่ผู้ใช้ทั่วไปได้พิจารณาว่าธนาคารปกป้องความปลอดภัยพื้นฐานของลูกค้าอย่างไร พร้อมกับแสดงให้เห็นถึงประเด็นความปลอดภัยและ
ความเป็นส่วนตัวที่สำคัญ ซึ่งผู้ใช้ธนาคารออนไลน์ควรคำนึงถึงในการใช้งาน โดยเป็นการสำรวจบริการออนไลน์ทั้งการให้บริการผ่านเว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่นของธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 12 แห่งจากทั้งหมด 14 แห่งตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยไม่ได้ประเมินธนาคาร 2 แห่งคือ ธนาคารทิสโก้ เนื่องจากไม่มีการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ และธนาคารไอซีบีซี ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าในวงจำกัด ดังนี้
1. ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
2. ธนาคารกรุงไทย (KTB)
3. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri)
4. ธนาคารกสิกรไทย (Kbank)
5. ธนาคารเกียรตินาคิน (KK)
6. ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMB)
7. ธนาคารทหารไทย (TMB)
8. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
9. ธนาคารธนชาต (Thanachart)
10. ธนาคารยูโอบี (UOB)
11. ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH Bank)
12. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (Standard Chartered)
สรุปข้อสังเกตของคณะวิจัยจากผลการประเมินได้ดังต่อไปนี้
1. แอพพลิเคชั่นของธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงวิธีตรวจสอบตัวตนเพื่อให้ทันต่อภัยคุกคาม นอกจากวิธีการพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันกับธนาคารอื่่นๆ แล้ว แต่ละธนาคารมีวิธีการของตนเอง เช่น ธนาคารทหารไทยใช้รหัสลับ 8 ตัวเพิ่มขึ้นจากรหัสผ่าน 6 หลัก การกำหนดให้ใช้บริการเฉพาะโทรศัพท์มือถือและหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคารเท่านั้น ต่างกับบริการธนาคารผ่านเว็บไซต์ที่ขั้นตอนการตรวจสอบตัวตนที่ไม่มีการพัฒนาให้รัดกุมขึ้นมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงทางเทคนิค เช่น การเข้ารหัสการเชื่อมต่อ
2. บริการแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านอีเมล์และข้อความทางโทรศัพท์มือถือเมื่อมีการทำรายการบัญชีเป็นวิธีการที่หลายธนาคารใช้เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวในบัญชีได้ เช่น ธนาคารกรุงเทพ อย่างไรก็ดี ธนาคารส่วนใหญ่ไม่มีการแจ้งเตือน
3. ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงว่าข้อมูลของผู้ใช้บริการอาจรั่วไหลได้ ซึ่งผู้ใช้บริการโดยทั่วไปไม่สามารถตรวจสอบสาเหตุของความผิดพลาดได้ การประกาศว่าธนาคารจะไม่รับผิดชอบในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยที่ธนาคารไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งรวมถึงการรบกวนจากไวรัสคอมพิวเตอร์ การกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งความบกพร่องที่เกิดจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต สะท้อนให้เห็นว่าผู้ใช้บริการไม่สามารถมั่นใจว่าจะมีผู้รับผิดชอบ เมื่อมีการรั่วไหลของข้อมูลตลอดการทำธุรกรรม ขณะที่ความเสี่ยงจากภัยคุกคามระบบอินเทอร์เน็ตทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
4. ขณะที่ธนาคารเรียกร้องให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตนเองหลายประการ แต่การให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการโดยเฉพาะมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ากลับไม่ชัดเจนนัก เช่น หน้าเว็บเกี่ยวกับความปลอดภัยเข้าถึงไม่ได้ ธนาคารไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการความปลอดภัยของธนาคารมากพอหรือไม่ให้ความสำคัญมากนัก เช่น การเข้ารหัส ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ แต่มักใช้ถ้อยคำเพื่อโน้มน้าวใจแบบกว้างๆ เช่น ง่าย ปลอดภัย
5. ธนาคารพยายามให้ลูกมีค้าความตระหนักด้านความปลอดภัยมากขึ้นในการใช้บริการ ดังเห็นได้จากการที่หลายธนาคารมีคำแนะนำด้านความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตามธนาคารสามารถมีมาตรการบังคับเพื่อให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้นได้แทนแนวทางสมัครใจ เช่น บังคับให้การตั้งรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบซับซ้อนมากขึ้น
6. แม้ทุกธนาคารจะจัดให้มีช่องทางติดต่อกับธนาคารหลายรูปแบบ เช่น โทรศัพท์ อีเมล์ แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากไม่ได้รับการบริการที่เหมาะสมจากธนาคาร เช่น ขณะที่ผู้ใช้บริการรายหนึ่งกำลังโทรศัพท์เพื่อแจ้งให้ธนาคารทราบว่ามีความผิดปกติขึ้นในบัญชีของตน แต่ต้องผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถพูดคุยกับพนักงานได้ทันที ระหว่างที่รอการติดต่อนี้มีการถอนเงินออกจากบัญชีไปแล้ว โดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้บริการตัวจริง
7. มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของธนาคารหลายอย่างอาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารออนไลน์ในด้านการข้ามพ้นข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ของการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การยืนยันตัวตนด้วยการส่งรหัสผ่านทาง SMS ทำให้ลูกค้าไม่สามารถดำเนินธุรกรรมได้ หากไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้ หรือการยืนยันตัวตนเพื่อขอรหัสผ่านใหม่ที่ธนาคารด้วยตนเอง
โอกาสและความท้าทายของฟินเทคในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินในไทย
ในบรรดาผู้เล่นฟินเทคทั้งหมดในไทยที่รวบรวมได้ 66 ราย ยังไม่มีรายใดที่ประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจนว่ามีเป้าหมายเป็นตลาดผู้มีรายได้น้อยซึ่งยังเข้าไม่ถึงการเงินในระบบ ผู้เล่นเกินกึ่งหนึ่งหรือ 41 ราย (ร้อยละ 62) ไม่น่าจะมีส่วนในการขยายบริการทางการเงิน เนื่องจากประกอบธุรกิจที่อยู่ห่างไกลจากความต้องการของตลาดผู้มีรายได้น้อย อาทิ การลงทุนรายย่อย (ตลาดหลักทรัพย์), การชำระเงินหรือโครงสร้างการชำระเงิน หรือเครื่องมือทางธุรกิจของ SMEs เป็นต้น ที่เหลืออีก 25 ราย เป็นไปได้ว่าจะคิดค้นบริการบางส่วนที่มุ่งเน้นตลาดผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากประกอบธุรกิจที่สามารถมีส่วนสัมพันธ์กับหรือตอบสนองต่อความต้องการของตลาดนี้ อาทิ การเงินส่วนบุคคล การให้กู้ยืมรายย่อย และ Crowdfunding เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ณ ปลายเดือนมิถุนายน 2560 เมื่อผู้เล่นส่วนใหญ่ยังมีอายุไม่ถึง 1-2 ปี นับว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินหรือระบุอย่างจำเพาะเจาะจงว่าผู้เล่นเหล่านี้จะมีส่วนขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินในไทยหรือไม่ เพียงใด
ฟินเทควันนี้ไม่เพียงแต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะขยายบริการทางการเงินในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเท่านั้น หากแต่การใช้ฟินเทคในการขยายบริการทางการเงินยังเป็น ‘โอกาสทางธุรกิจ’ ที่มีมูลค่ามหาศาลสำหรับทั้งสถาบันการเงินดั้งเดิม และผู้ประกอบการรายใหม่ โดยสามารถสรุปโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายในไทยได้ดังต่อไปนี้
โอกาส
• ความพร้อมใช้เทคโนโลยีและความเชื่อมั่นต่อธนาคาร ขณะที่อัตราการใช้ธนาคารผ่านมือถือยังต่ำในกลุ่มฐานราก
• พฤติกรรมการใช้สื่อสังคม (โซเชียลมีเดีย) อย่างเข้มข้น
• ความต้องการบริการทางการเงินพื้นฐานยังไม่ได้รับการเติมเต็ม และขนาดของตลาดที่น่าดึงดูด
• ฟินเทคเอื้อต่อการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินสำหรับกลุ่มฐานราก
• โอกาสจากช่องว่างการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
• โอกาสของฟินเทคในการร่วมมือกับองค์กรการเงินฐานราก
ความท้าทาย
• การคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของลูกค้าและความปลอดภัยของข้อมูล
• ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
• ความกระจัดกระจายของหน่วยงานกำกับดูแล
• การบิดเบือนกลไกตลาดของรัฐ และการดำเนินนโยบายที่ขัดแย้งกันเอง
• ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการรายใหม่
อ่านและดาวน์โหลดรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้จากลิงก์ด้านล่าง: