วันที่ 28 พ.ย. 2559 “วิรไท สันติประภพ” ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยก “การธนาคารที่ยั่งยืน” หรือ sustainable banking ว่า เป็นหนึ่งในห้า “โจทย์ท้าทาย” ที่นายแบงก์อาเซียนต้องเผชิญ ในงาน 21st ASEAN Banking Conference โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า
“เรื่องการธนาคารที่ยั่งยืนเป็นเรื่องใหม่ของภูมิภาคอาเซียนที่จะต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น และจะต้องครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การปล่อยสินเชื่อด้วยความรับผิดชอบต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น (Responsible Lending) ตลอดจนการสร้างความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินให้แก่ประชาชน”
(อ่านรายละเอียดได้ในข่าวไทยพับลิก้า)
ว่าแต่วิถี “การธนาคารที่ยั่งยืน” คืออะไร เหตุใดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติจึงมองว่าธนาคารต่างๆ ในอาเซียนจะต้องให้ความสำคัญ ทำแล้วธนาคารจะได้ประโยชน์ทางธุรกิจอะไรบ้าง ?
ถึงแม้ว่าตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารระดับโลกหลายแห่งจะประกอบธุรกิจโดยยึดมั่นในหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวคิดและเหตุผลทางธุรกิจของ “การธนาคารที่ยั่งยืน” ก็ดูราวกับเพิ่งตกผลึกอย่างชัดเจนในทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 นี้เอง
ในปี ค.ศ. 2007 บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) องค์กรในเครือธนาคารโลกที่ปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชน สรุปในรายงาน “การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” (Banking for Sustainability) ว่า ความยั่งยืนสำหรับภาคธนาคารนั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญสองส่วนด้วยกัน –
“องค์ประกอบแรก คือ การจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และในการปล่อยสินเชื่อ …องค์ประกอบที่สอง คือ การค้นหาโอกาสการพัฒนาผลิตภัณฑ์เปี่ยมนวัตกรรมในสาขาใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน นั่นหมายถึงการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่สนับสนุนการพัฒนาสินค้าและกิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่สร้างประโยชน์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
“โอกาสใหม่ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นเหล่านี้พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีตั้งแต่พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีสะอาด การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ไมโครไฟแนนซ์ บริการทางการเงินที่พุ่งเป้าไปยังกลุ่มสตรี และที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย โมเดลธุรกิจซึ่งตอบโจทย์เหล่านี้กำลังสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่และตลาดใหม่ และกำลังช่วยให้สถาบันการเงินสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เสริมสร้างชื่อเสียงในสายตาของลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียรายสำคัญ เข้าถึงแหล่งทุนใหม่ และสร้างความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้เสีย”
วันนี้ทั่วโลกมีสถาบันการเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่บูรณาการ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” เข้าไปในการกำหนดกลยุทธ์ การปฏิบัติงาน และวัฒนธรรมองค์กร บางแห่งเรียกตัวเองว่า “ธนาคารเขียว” (green bank) เน้นการให้บริการทางการเงินกับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศ
การเติบโตของ “การธนาคารที่ยั่งยืน” ในแง่แนวคิดและวิถีปฏิบัตินั้นสอดคล้องกับกระแสที่คนตื่นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบจากการธนาคารที่ “ไม่ยั่งยืน” ธนาคารที่พยายาม “ยั่งยืน” จะค่อยๆ ยกเลิกการสนับสนุนธุรกิจหรือกิจกรรมที่ไม่ยั่งยืน อาทิ การผลิตพลังงานโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพิ่มการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนและโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน ธนาคารบางแห่งบนเส้นทางนี้สนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบต่อสังคมเป็นบวก อาทิ สินเชื่อขนาดจิ๋วเพื่อบรรเทาปัญหาความยากจน บริการเพื่อผู้พิการที่เข้าถึงได้ ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน มาตรฐาน แนวร่วม และรางวัลด้าน “การธนาคารที่ยั่งยืน” ก็เริ่มปรากฎและเติบโต มาตรฐานซึ่งเป็นที่รู้จักสูงสุดได้แก่ ชุดหลักอีเควเตอร์ (Equator Principles: EPs) ซึ่งถูกออกแบบมาเป็นมาตรฐานสำหรับการปล่อยสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ที่รับผิดชอบ สถาบันการเงินที่ลงนามรับหลักการชุดนี้จะต้องบูรณาการหลักอีเควเตอร์เข้ากับกระบวนการและขั้นตอนกลั่นกรองสินเชื่อภายในธนาคาร และจะไม่สนับสนุนโครงการที่ลูกค้าไม่ยอมทำหรือไม่สามารถทำตามหลักอีเควเตอร์ได้ เมื่อหันมามองด้านการยกย่อง หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทมส์ ร่วมกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ ก็ได้มอบรางวัล “การเงินที่ยั่งยืน” หรือ FT/IFC Sustainable Finance Awards สำหรับสถาบันการเงินและสถาบันจัดการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นประจำทุกปีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 เป็นต้นมา
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ตีพิมพ์รายงานหลักปฏิบัติ “UNEP FI Guide to Banking & Sustainability” ในปี 2011 ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินร่วมลงนามกว่า 200 แห่ง ก่อนหน้านั้นในปี 2009 ธนาคารที่มุ่งทำธุรกิจอย่างยั่งยืน 16 แห่งจากทั่วโลก ร่วมกันก่อตั้ง “แนวร่วมการธนาคารเน้นคุณค่าแห่งโลก” (Global Alliance for Banking on Values: GABV) เป็นเครือข่ายอิสระของธนาคารที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินนำส่งการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประชากรและชุมชนที่เข้าไม่ถึงการเงินในระบบ ตลอดจนปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันแนวร่วมดังกล่าวมีสถาบันการเงินเป็นสมาชิก 25 แห่งจาก 25 ประเทศทั่วโลก เข้าถึงประชากรรวม 10 ล้านคน และดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ไตรกำไรสุทธิ” (Triple-Bottom-Line หมายถึงการมุ่งสร้างกำไรทางการเงินควบคู่ไปกับประโยชน์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม)
ในภาคปฏิบัติ วงการ “ธนาคารที่ยั่งยืน” วันนี้จะต้องพิสูจน์ผ่านการดำเนินธุรกิจในสองด้านหลักด้วยกัน ได้แก่ 1) การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และ 2) การเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินของกลุ่มประชากรที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน
ผู้เขียนในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย “เหตุผลทางธุรกิจของการธนาคารที่ยั่งยืนในประเทศไทย” พบว่า ปัจจุบันวงการธนาคารพาณิชย์ไทยโดยรวมยังค่อนข้างล้าหลังทั้งสองด้าน แต่ธนาคารพาณิชย์ที่นำวิถีปฏิบัติของธนาคารที่ยั่งยืนไปประยุกต์ใช้น่าจะมีโอกาสทางธุรกิจหลายประการ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความสนใจของธนาคารหลายแห่งที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการบุกตลาดผู้มีรายได้น้อย จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการใช้สมาร์ทโฟนและเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยรวม คณะวิจัยสรุป “เหตุผลทางธุรกิจ” ของการเข้าสู่วิถีการธนาคารที่ยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์ไทย ได้ในตารางต่อไปนี้
มิติของการธนาคารที่ยั่งยืน / เหตุผลทางธุรกิจ
|
ปรับปรุงการบริหารจัดการความเสี่ยง | เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด / ขยายฐานลูกค้าเดิม | เข้าสู่ตลาดใหม่ / ได้ฐานลูกค้าใหม่ |
การปล่อยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจอย่างรับผิดชอบ (responsible wholesale lending) | มี – การบูรณาการเกณฑ์ด้านผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในกระบวนการกลั่นกรองสินเชื่อ อาทิ การรับชุดหลักการอีเควเตอร์ สามารถช่วยลด
1. ความเสี่ยงจากการถูกฟ้องดำเนินคดี 2. ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง และ 3. ความเสี่ยงทางการเงิน ที่เกิดจากความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการที่มีแนวโน้มจะก่อผลกระทบเชิงลบสูง และไม่ถูกจำกัดหรือรับมืออย่างเพียงพอในขอบเขตของกฎหมายและกฎระเบียบภาครัฐ
|
N/A | มี – ด้วยการเน้นผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสำหรับกิจการใหม่ๆ ที่สร้างประโยชน์สุทธิด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานหมุนเวียน เกษตรอินทรีย์ และการพัฒนาชุมชน |
การปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายย่อยอย่างรับผิดชอบ (responsible retail lending) | เป็นไปได้ – ถ้าหากธนาคารผนวกกลไกคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินเข้ากับโครงการให้การศึกษาทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยง อาทิ ความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเกินตัว หัวข้อที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทางการเงินไทยเป็นพิเศษ ได้แก่ การรีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล และการเพิ่มความโปร่งใสของการเปิดเผยค่าธรรมเนียมสินเชื่อ
|
มี – ผ่านการผนวกผสานโครงการให้การศึกษาหรือความรู้เรื่องทางการเงิน (financial literacy) เข้าไปในการนำส่งผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ณ จุดขาย ในทางที่ทำให้ความรู้ดังกล่าวเป็น “ความโดดเด่น” ที่ดึงดูดผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับลูกค้าที่ฝากเงินอย่างสม่ำเสมอ
|
N/A |
การขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ | N/A | N/A | มี – ผลิตภัณฑ์ไมโครไฟแนนซ์ โดยเฉพาะสินเชื่อและเงินโอน ยังเป็นที่ต้องการอย่างสูงสำหรับผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมของธนาคารกระแสหลักด้วยการใช้ช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ
1. การธนาคารผ่านมือถือ (mobile banking) ที่มีจุดแปลง e-money เป็นเงินสดได้ 2. การร่วมมือกับกลุ่มการเงินฐานรากในชุมชน อาทิ สหกรณ์ออมทรัพย์ สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ ฯลฯ |
หมายเหตุ: บทความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งจากรายงานวิจัย “เหตุผลทางธุรกิจของการธนาคารที่ยั่งยืนในประเทศไทย” โดยบริษัท ป่าสาละ จำกัด ผู้เขียนเป็นหัวหน้าโครงการ ดำเนินการภายใต้ทุนวิจัยจากมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ ดาวน์โหลดงานวิจัยได้จากเว็บไซต์ป่าสาละ