ที่มาภาพ: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/649500

หลังจากที่ประเทศไทยได้รับใบเหลืองจากคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ อีซี (European Commission – EC) โทษฐานที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทำการประมงผิดกฏหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม หรือ ไอยูยู (Illegal Unreported and Unregulated Fishing – IUU) วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้มาตรา 44 แต่งตั้งให้กองทัพเรือเป็นผู้รับผิดชอบดูเเลศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการทำงานร่วมกับศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมประมง กรมเจ้าท่า กระทรวงเเรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing

การถือกำเนิดขึ้นของ ศปมผ.ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เนื่องจาก ศปมผ. ที่นำโดยกองทัพเรือ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบการทำประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเรือประมงผิดกฎหมายที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาลในตอนนั้น และการบังคับใช้กฎหมายกับเรือประมง ซึ่งประเทศไทยเพิ่งประกาศใช้ พ.ร.บ.การประมงใหม่ พ.ศ. 2558 แทน พ.ร.บ.ประมงฉบับเดิม ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 รวมถึงการเข้มงวดกวดขันเรื่องแรงงานในภาคการประมงที่เคยเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลก

ผลจากการเข้ามาจัดระเบียบของ ศปมผ. ส่งผลให้เรือประมงผิดกฎหมาย เช่น เรือที่ไม่มีอาชญาบัตร หรือมีอาชญาบัตรผิดประเภทเครื่องมือประมง โดยเฉพาะเรืออวนลากผิดกฎหมาย หรือเรืออวนลากเถื่อน ต้องหยุดทำการประมงไปเป็นจำนวนมากกว่า 8,000 ลำ แน่นอนว่าอุตสาหกรรมกลางน้ำอย่างอุตสาหกรรมปลาป่นที่รับซื้อปลาจากเรือประมงย่อมได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบในครั้งนี้ มีรายงานว่าโรงงานปลาป่น โดยเฉพาะโรงที่ใช้วัตถุดิบจากเรือประมงและเศษซากปลาจากโรงงานผลิตซูริมิ หายไปกว่าครึ่ง มีเพียงโรงปลาป่นที่ใช้เศษซากปลาทูน่าจากโรงงานปลาทูน่ากระป๋อง(ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของปลาทูน่านำเข้ามาจากต่างประเทศ) และเศษซากปลาเพาะเลี้ยงเท่านั้น ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาจัดระเบียบเรือประมงของ ศปมผ.

นอกจากการเข้ามาจัดระเบียบเรือประมงที่ผิดกฎหมายแล้ว ความพยายามจะแก้ใบเหลืองของ ศปมผ.อีกประการคือการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า – ออก หรือที่เรียกกันว่าศูนย์ปีโป้ (Port-In Port-Out: PIPO) ประจำแต่ละจังหวัดชายทะเล โดยเรือประมงพาณิชย์ที่มีขนาดมากกว่า 30 ตันกรอส และเรือประมงขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป ที่ใช้เครื่องมือประมงอวนลาก อวนล้อมจับ อวนครอบปลากระตักทุกลำมีการแจ้งเข้าแจ้งออกภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนที่จะออกไปทำการประมงและกลับเข้ามาที่ท่าเรือ ซึ่งเป็นมาตรการหลักในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การใช้แรงงานทาสบนเรือประมง และการนำสัตว์น้ำที่จับอย่างผิดกฎหมายเข้ามาสู่ระบบการผลิตของไทย นอกจากนี้ยังกำหนดให้เรือประมงที่มีขนาดใหญ่กว่า 30 ตันกรอส ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือ หรือ Vessel Monitoring System (VMS) ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตรวจสอบว่าเรือลำนั้นฝ่าฝืนทำการประมงในพื้นที่ห้ามทำหรือไม่

ในส่วนของพระราชกำหนดการประมงใหม่ ผู้เขียนจะไม่ขอลงรายละเอียด เพียงแต่จะหยิบเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปลาป่นมาเขียนเท่านั้น ซึ่งประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงคือ มาตรา 90 ที่ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผู้นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ต้องมีใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงว่าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นได้มาจากการประมงโดยชอบด้วยกฏหมาย” ส่วนมาตรา 158 ได้กำหนดโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนไว้ว่า จะต้องระวางโทษปรับห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่นำเข้าหรือส่งออก ทำให้ปลาป่น ที่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ จำเป็นต้องมีใบรับรองการจับ หากผู้ส่งออกต้องการจะส่งออก มาตรานี้ทำให้แต่เดิมที่การทำใบรับรองปลาป่นเป็นไปตามความสมัครใจ กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นไปแล้วสำหรับโรงปลาป่น เพราะทั้งผู้ผลิตอาหารสัตว์และผู้ส่งออกหันมาเรียกร้องหาเอกสารกัน จากเดิมที่โรงปลาป่นโรงใดที่ขายให้โรงงานอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ที่ต้องการเอกสารรับรอง ก็ทำใบรับรอง โรงที่ขายให้ผู้ซื้อที่ไม่ต้องการ อย่างฟาร์ม หรือผู้ส่งออก ก็ไม่ต้องทำใบรับรอง

เมื่อพูดถึงใบรับรองปลาป่น ก็ต้องเล่าถึงที่มาของระบบรับรองปลาป่นของไทยเสียก่อน ย้อนไปเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2556 กรมประมงร่วมกับกรมปศุสัตว์ สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้พัฒนาระบบรับรองปลาป่นขึ้น โดยกรมประมงเป็นผู้ดูแลระบบและออกใบรับรองการซื้อ-ขายสัตว์น้ำ สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทยเป็นผู้ออกใบรับรองปลาป่น ส่งให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ในเบื้องต้นมีเพียงบริษัทซีพีเอฟที่ออกมาขานรับกับระบบนี้ โดยประกาศให้ค่าพรีเมียม 3 บาทต่อกิโลกรัมแก่ปลาป่นที่มีใบรับรอง เพื่อเป็นการจูงใจให้โรงปลาป่นเข้าร่วมระบบ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นระบบแบบสมัครใจ และแม้ว่าโรงปลาป่นจะไม่มีใบรับรองก็ยังขายได้ แต่ถ้ามี ก็จะขายได้ราคาสูงขึ้น ช่วงแรกๆ มีเพียงโรงปลาป่นไม่กี่โรงที่เข้าร่วมโครงการนี้ เนื่องจากต้องทำเอกสารเพิ่มเติมมากมาย และโรงปลาป่นเองก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญในการจัดทำเอกสารเหล่านี้ ที่สำคัญหลายๆ โรงเจอปัญหาว่าเรือประมงไม่ยอมกรอกเอกสารให้ แม้ระบบรับรองปลาป่นนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถตรวจสอบได้จริง เพราะเป็นระบบที่ให้โรงปลาป่นกรอกข้อมูลเอง โดยไม่ได้มีการลงไปตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่กรอก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของระบบตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมปลาป่น ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่จะช่วยทำเกิดความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน

แม้ว่าบริษัทซีพีเอฟจะเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายเดียวที่ออกมาสนับสนุนโครงการนี้ โดยประกาศให้ค่าพรีเมียมแก่ปลาป่นที่มีหนังสือรับรอง จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับโรงปลาป่นพบว่า ผู้ผลิตอาหารสัตว์เจ้าอื่นก็ให้ค่าพรีเมียมแก่ปลาป่นที่มีใบรับรองด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่บริษัทซีพีเอฟตกเป็นข่าวว่าเกี่ยวข้องกับการซื้อปลาป่นที่ใช้ปลาจากเรือประมงที่ใช้แรงงานทาส บริษัทซีพีเอฟก็ประกาศหยุดรับซื้อปลาป่นภายในประเทศ และเมื่อกลับมารับซื้ออีกครั้ง บริษัทก็พยายามจูงใจคู่ค้าโดยเสนอค่าพรีเมียมสำหรับปลาป่นที่มีใบรับรองสูงถึง 8 บาท แต่กำหนดเกณฑ์การรับซื้อว่าปลาป่นที่จะขายให้บริษัทซีพีเอฟนั้นจะต้องมีใบรับรองที่มาของปลาป่นว่าไม่ได้มาจากการทำประมง IUU และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสเท่านั้น ในช่วงนี้โรงปลาป่นที่สามารถทำใบรับรองได้ก็กลับมาขายให้บริษัทซีพีเอฟอีกครั้ง นอกจากนี้ช่วงกลางปี พ.ศ. 2558 บริษัทซีพีเอฟก็ประกาศเลิกซื้อปลาป่นที่ไม่ได้มาตรฐาน IFFO RS โดยให้เหตุผลว่าเป็นความต้องการของลูกค้าในต่างประเทศ ณ ขณะนั้นจึงมีเพียงโรงปลาป่นเพียงโรงเดียวที่สามารถขายปลาป่นให้บริษัทซีพีเอฟตามเงื่อนไขนี้ได้ คือ บริษัท SEAPAC (ในความเป็นจริงมีโรงปลาป่นอีกโรงที่ได้มาตรฐาน IFFO RS ก็คือ บริษัท ที ซี ยูเนี่ยน อะโกรเทค แต่บริษัทนี้เป็นคู่ค้ากับผู้ผลิตอาหารสัตว์อีกราย) การออกมาประกาศเงื่อนไขการรับซื้อเช่นนี้สร้างความปั่นป่วนให้แก่อุตสาหกรรมปลาป่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทซีพีเอฟไม่ได้แจ้งเกณฑ์การรับซื้อนี้ล่วงหน้า ทำให้โรงปลาป่นหลายโรงมีของค้างสต็อคอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำให้ความต้องการใช้ปลาป่นจากทั้งในและต่างประเทศมีน้อยลง อย่างไรก็ตามโรงปลาป่นหลายๆ โรงก็พยายามหาคู่ค้าในต่างประเทศมาทดแทนส่วนที่เคยขายให้บริษัทซีพีเอฟ หลายๆ โรงก็หันไปค้าขายกับผู้ผลิตอาหารสัตว์เจ้าอื่นๆ แทน

แม้ว่าขณะนั้นบริษัทซีพีเอฟแทบจะไม่ได้ซื้อปลาป่นจากคู่ค้าภายในประเทศแล้วก็ตาม บริษัทก็ยังคงประกาศราคารับซื้อปลาป่นอยู่ โดยเสนอราคารับซื้อที่สูงขึ้นสามเท่า และได้ชักชวนโรงปลาป่นที่เคยเป็นคู่ค้าของบริษัทให้รับมาตรฐาน IFFO RS ด้วย แต่เนื่องจากการรับมาตรฐาน IFFO RS มีความซับซ้อนจึงมีเพียงโรงปลาป่นไม่กี่โรงที่ให้ความสนใจจะรับมาตรฐานนี้

ในบทความตอนหน้าจะมาเล่าเรื่องการทำวิจัยในระดับปริญญาโทของผู้เขียน ที่พยายามหาคำตอบว่าอะไรจะเป็นปัจจัยให้โรงปลาป่นในประเทศไทยรับหรือไม่รับมาตรฐาน IFFO RS ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตปลาป่นอย่างมีความรับผิดชอบ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตปลาป่นทั่วโลก