ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ไม่ใช่ ‘ความเสี่ยง’ อีกต่อไป แต่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ต่อชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลก การเปลี่ยนผ่านไปสู่ ‘เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ’ หรือ low-carbon economy นับวันจะยิ่งเป็นเส้นทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของทุกประเทศในโลก ไม่ว่าจะอยู่ทวีปใด มีขนาดเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม
อย่างไรก็ดี หน้าตาของ ‘เส้นทาง’ สู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของแต่ละประเทศย่อมไม่เหมือนกัน และเหมือนกันไม่ได้ เพราะแต่ละประเทศมีภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ ระดับการพัฒนา รวมถึงบริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่แตกต่างกัน
ในเมื่อประเทศไทยออกเดินบนเส้นทาง ‘เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ’ ค่อนข้างช้ากว่าอีกหลายประเทศ (ในช่วงท้ายของบทความนี้ ผู้เขียนจะเสนอว่าเราแทบยังไม่ได้ ‘ออกตัว’ จากจุดสตาร์ทเลยด้วยซ้ำไป) เราก็น่าจะเรียนรู้บทเรียนจากประเทศอื่นที่ออกเดินบนเส้นทางนี้มาก่อนหน้าไทย
ผู้เขียนคิดว่าประสบการณ์จากประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส สองประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป น่าสนใจและน่าจะนำบทเรียนมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของเราเองได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน – อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ในยุโรป ทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสต่างได้ชื่อว่าเป็น “ผู้นำ” การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานในประเทศ ทั้งสองประเทศส่งเสริมการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (energy efficiency) โดยใช้ทั้งไม้แข็ง (กฎหมาย เช่น กฎการใช้พลังงานในอาคาร) และไม้อ่อน (แรงจูงใจทางภาษีและอื่นๆ) รัฐบาลเยอรมนีสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์มาช้านาน ไม่แตะพลังงานนิวเคลียร์ ส่วนฝรั่งเศสใช้วิธีสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ควบคู่ไปด้วยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลลงให้ได้อย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ณ สิ้นปี 2016 ทั้งสองประเทศสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้กว่า 51% (เยอรมนี) และ 55% (ฝรั่งเศส) จากจุดสูงสุดตอนปลายทศวรรษ 1970 แต่ยังต้องลดลงอีกมากเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เสนอว่า “จำเป็นเร่งด่วน” เพื่อป้องกันผลกระทบที่รุนแรงเลวร้ายในวงกว้าง และเพื่อป้องกันไม่ให้การปรับตัวของมนุษย์มีต้นทุนสูงเกินจ่ายไหว
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของฝรั่งเศส ค.ศ. 1860 ถึง 2016 (หน่วย: ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเยอรมนี ค.ศ. 1860 ถึง 2016 (หน่วย: พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าที่ผ่านมาของทั้งสองประเทศนี้ในแง่ของการลดก๊าซเรือนกระจกใช่ว่าจะราบรื่นไร้ความท้าทาย เยอรมนียังคงพึ่งพาถ่านหินเกือบ 40% ในการผลิตพลังงานของประเทศ และผู้ดำเนินนโยบายก็ยอมรับว่าถ้าหากเยอรมนียังคงพึ่งพาถ่านหินในระดับสูงขนาดนี้ ประเทศก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ตัวเองตั้งไว้ได้สำเร็จ ส่วนฝรั่งเศสมีแนวโน้มดีกว่า นอกจากจะอยู่บนเส้นทางที่จะบรรลุเป้าการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว รัฐบาลยังประกาศว่าจะสามารถปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทุกโรงในประเทศที่ยังเหลืออยู่ภายในปี ค.ศ. 2022
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างสองประเทศนี้คือ เยอรมนีต้องพึ่งพิงถ่านหินในระดับสูงต่อไปเพราะปฏิเสธพลังงานนิวเคลียร์ ทยอยปิดเตาปฏิกรณ์ซึ่งเคยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ ขณะที่ฝรั่งเศสยังพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ถึงกว่า 70% ของการผลิตพลังงานทั้งหมด จึงไม่ต้องพึ่งถ่านหิน เกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2010 รัฐบาลเยอรมันทุ่มเงินไปแล้วกว่า 6.6 ล้านล้านบาทในการสนับสนุนพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 27% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะปิด ‘ช่องว่าง’ ที่หายไปจากนิวเคลียร์ ส่งผลให้ประเทศยังต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อไป โดยเฉพาะลิกไนต์ซึ่งเป็นถ่านชนิด ‘สกปรก’ และด้อยประสิทธิภาพพลังงาน เมื่อปลายปี 2018 ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมันยอมรับว่าต้องชะลอแผนการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินออกไป และจะไม่สามารถบรรลุเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2020 ได้
ชาวเยอรมัน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ชานเมืองและในชนบทที่รายได้น้อยกว่าคนเมือง เริ่มต่อต้านพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพราะรัฐบาลอุดหนุนพลังงานลมและแสงอาทิตย์แล้วส่งบิลมาเก็บประชาชนในรูปค่าไฟที่แพงขึ้น (ค่าไฟในฝรั่งเศสถูกกว่าเยอรมนีเกือบครึ่ง) ซึ่งก็สะท้อนความท้าทายของพลังงานหมุนเวียนได้เป็นอย่างดี – ถ้าจะให้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าให้ได้เท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ก็ต้องใช้เนื้อที่มากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 450 เท่า แถมรัฐยังต้องลงทุนสร้างสายส่งอีกมหาศาล
ฝรั่งเศสซึ่งคืบหน้าไปมากกว่าเยอรมนีก็เผชิญกับความท้าทายหลายระลอกเช่นกัน ตั้งแต่ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บานปลายสูงกว่าประมาณการ (cost overruns) และต้องชะลอการเปิดใช้ออกไป ไม่นับปัญหาทางเทคนิคและกระแสต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ระลอกใหม่ หลังเกิดเหตุกัมมันตรังสีรั่วไหลที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 2011
กระแสการต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์หลังเกิดเหตุฟุกุชิมะส่งผลให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ประกาศแผนลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในฝรั่งเศสลง 50% ภายในปี ค.ศ. 2025 โดยจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แทน มาครงประกาศแผนนี้ไม่นานหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งในปี 2017 แต่หลังจากที่ประเมินผลกระทบของแผนนี้ต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและราคาค่าไฟฟ้า ก็ชัดเจนว่าฝรั่งเศสไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างรวดเร็วพอที่จะชดเชยการลดพลังงานนิวเคลียร์อย่างฮวบฮาบ และอันที่จริง หลายปีก่อนที่พลังงานหมุนเวียนจะ ‘เข้าที่’ อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของฝรั่งเศสและค่าไฟน่าจะถีบตัวสูงขึ้นด้วยซ้ำ เพราะต้องสร้างโรงไฟฟ้าพลังก๊าซมาผลิตไฟฟ้าทดแทนระหว่างทาง
เมื่อการประเมินผลกระทบออกมาแบบนี้ รัฐบาลมาครงจึงตัดสินใจขยับปีเป้าหมายที่จะลดนิวเคลียร์ 50% ออกไปเป็นปี 2030-2035 แทน จากเดิม 2025
การ ‘หักดิบ’ หันหลังให้กับพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีความเสี่ยงหลายอย่างแต่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ จนต้องใช้พลังงานจากถ่านหินแทน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเยอรมนีเพิ่มขึ้นในปี 2015 และ 2016 ถึงแม้ว่าแนวโน้มโดยรวมจะยังคงลดลงก็ตาม
บทเรียนจากฝรั่งเศสและเยอรมนีสอนเราว่า แน่นอนว่าเราขาดพลังงานหมุนเวียนไม่ได้ในการสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ แต่ในเมื่อฟิสิกส์ของมันและเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยให้เรา ‘หักดิบ’ เลิกใช้พลังงานประเภทอื่นได้ทันที การออกแบบ ‘ช่วงเปลี่ยนผ่าน’ (transition period) ที่ทั้งประเทศจะค่อยๆ ลดระดับการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงการมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟรายได้น้อย จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เลย
ประเทศอื่นในยุโรปต่างพยายามลดคาร์บอนในรูปแบบและจังหวะที่เหมาะสมกับตัวเองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นอร์เวย์ ผู้โชคดีที่ภูมิประเทศเอื้ออำนวยให้ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ (ซึ่งก็เป็นพลังงานหมุนเวียนชนิดหนึ่ง) ได้ถึง 95% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในประเทศ ไม่นานมานี้กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ประกาศถอนการลงทุนจากทุกบริษัทที่มีรายได้หรือกิจกรรมเกิน 30% จากอุตสาหกรรมถ่านหิน และนอร์เวย์ก็ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลกว่าใครเพื่อนในโครงการกักเก็บคาร์บอน (carbon capture and storage: CCS) – เทคโนโลยีซึ่งสำนักงานพลังงานสากล (International Energy Agency: IEA) บอกว่า “ขาดไม่ได้” ในการบรรลุเป้าการลดก๊าซเรือนกระจก
ถึงแม้ว่าการ ‘หักดิบ’ กับพลังงานนิวเคลียร์ของเยอรมนีอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำล่าช้า เกิดการสะดุด และส่งผลกระทบต่อประชาชนเกินจำเป็น ผู้เขียนเห็นว่าสองสิ่งที่เราควรเห็นเป็นบทเรียนชั้นเยี่ยมจากเยอรมนีก็คือ ความชัดเจนและความโปร่งใส ในการประกาศเป้าคาร์บอนและเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้า และการออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
นอกจากเยอรมนีจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ประกาศเป้าหมายการลดคาร์บอนที่ชัดเจนแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่น่านับถือกว่านั้นอีกคือการเปิดเผยรายงานความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ และยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเมื่อพบอุปสรรค แทนที่จะเปลี่ยนเป้าหรือตัวชี้วัดให้ไปถึง ‘ง่ายขึ้น’ แบบที่หน่วยงานราชการบางแห่งในไทยชอบทำ ยกตัวอย่างเช่น รายงานคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ (Climate Protection Report) ประจำปี 2017 จัดทำโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมเยอรมัน ระบุชัดว่ามาตรการต่างๆ ในโครงการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น “ไม่เพียงพอ” ที่จะทำให้เยอรมนีบรรลุเป้าการลดคาร์บอนภายในปี 2020 ได้ นอกจากนี้ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตาม Energiewende หรือโครงการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานเข้าสู่คาร์บอนต่ำ) ก็ระบุเป้าหมายและความคืบหน้ารายสาขาอย่างชัดเจน
ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะค่อยๆ ลด ลดอย่างรวดเร็ว หรือ ‘หักดิบ’ ก็ตาม ดังนั้นมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โครงการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานของเยอรมนีเน้นการจัดตั้งกองทุนระดับภูมิภาคขึ้นมาสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่จะส่งเสริมธุรกิจใหม่ในภูมิภาคที่ทำเหมืองลิกไนต์ ถ่านหิน ‘สกปรก’ ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่ชีวิตยังพึ่งพาอุตสาหกรรมถ่านหิน และกระตุ้นให้เกิดธุรกิจทางเลือกมากขึ้น
เยอรมนีกับฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างน่าสนใจของประเทศที่ประสบความสำเร็จแล้วในการ ‘แยก’ การเติบโตทางเศรษฐกิจ (วัดโดยอัตราการเติบโตของจีดีพี) ออกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถเติบโตแบบที่ลดรอยเท้าคาร์บอนลงได้ ถึงแม้ว่าการออกแบบช่วงเปลี่ยนผ่านจะไม่ง่ายและมีความท้าทายมากมาย
หันกลับมาดูประเทศไทย เราก็มองเห็นความคืบหน้าไม่น้อยในแง่ความตื่นตัวของรัฐบาล ในฐานะที่ร่วมเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 ไทยก็ได้จัดส่งข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจก และการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intended Nationally Determined Contributions: INDCs) ไปยังสํานักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2558 โดยประกาศเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ 20% จากกรณีปกติ (business-as-usual: BAU) หรือ 25% ถ้าได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ภายในปี ค.ศ. 2030
ต่อมาในเดือนตุลาคม 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นนโยบายสําคัญของประเทศ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 โดยให้สํานักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อมาในการประชุมเดือนมกราคม 2559 คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติมอบหมายให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จัดทําแผนที่นําทาง (Roadmap) ซึ่งระบุแนวทางและมาตรการในรายละเอียดเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้ตั้งไว้
ล่าสุด แผนการปฏิรูปประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดว่าภายในปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยจะต้องมีร่างแรกของกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “พ.ร.บ. โลกร้อน” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการยกร่างโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กฎหมายโลกร้อนจะเอื้ออำนวยให้ไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้ดีเพียงใด เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ดี จากการศึกษาแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 2021-2030 ผู้เขียนเห็นว่าเราควรต้องเริ่มจากการทบทวน ‘เส้นฐานคาดการณ์’ ของไทยเสียก่อน ว่าสอดคล้องกับแนวโน้มความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ในการประกาศเป้าการลดคาร์บอนกับสหประชาชาติโดยสมัครใจ (INDC) ไทยใช้วิธีลดก๊าซเรือนกระจกจากเส้นฐานคาดการณ์ (baseline scenario target) ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเทียบกับระดับการคาดการณ์การปล่อยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรียกว่า “การปล่อยในกรณีปกติ” (business-as-usual: BAU) ซึ่งวิธีนี้นิยมใช้ในหมู่ประเทศกําลังพัฒนาที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจ ไม่ใช่ลดแบบสัมบูรณ์ (absolute decline) จากระดับการปล่อยในอดีต แบบที่ประเทศพัฒนาแล้ว (รวมถึงเยอรมนี และฝรั่งเศส) นิยมใช้
การตั้งเป้าลดคาร์บอนจากฐานตัวเลขคาดการณ์หรือ BAU ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ปัญหาคือ การคาดการณ์ BAU ของไทยนั้นน่าจะ “สูงเกินจริง” ไปไม่น้อย สาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่สูงเกินควร
การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินควรไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องนี้เป็นปัญหามาตลอดหลายปีแล้ว ในเดือนมิถุนายน 2018 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อธิบายกับสื่อว่า ปริมาณสำรองไฟฟ้าในปัจจุบันอยู่ที่ 38-39% (สูงกว่ามาตรฐาน 15% กว่าสองเท่า) เนื่องจาก “1) ความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่เพิ่มขึ้นตามที่มีการคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในส่วนที่เรียกว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) นั้น “ไม่ได้เกิดขึ้นมา 2 ปีแล้ว” และยังทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงถึง 200-300 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน 2) การขยายตัวของพลังงานทดแทนเช่น โซลาร์รูฟท็อป และ 3) การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีโครงการใหม่เริ่มผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าในระบบของประเทศมี “มากกว่าความต้องการใช้” ส่วนวิธีการบริหารจัดการในขณะนี้ก็คือ การสั่งหยุดเดินเครื่องหรือเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพียงร้อยละ 50 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) …. สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือ ต้องปรับลดกำลังผลิตไฟฟ้าในส่วนของ กฟผ. [การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย] ลงด้วย จากปัจจุบัน กฟผ.มีกำลังผลิตคิดเป็นร้อยละ 40 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมทั้งหมด แต่มีการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจริงอยู่ที่ร้อยละ 27 เท่านั้น”
การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าส่งผลต่อการรายงานความ ‘ก้าวหน้า’ ในการลดก๊าซเรือนกระจกมาก เพราะการผลิตไฟฟ้าในไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (ตัวเลขปี 2018) คิดเป็นราว 36% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคพลังงาน (การคมนาคมขนส่งอยู่ในหมวดนี้ด้วย) และราว 28% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ
ด้วยเหตุผลว่าปริมาณไฟฟ้าสำรองปัจจุบันสูงเกินมาตรฐานไปกว่า 20% (38-39% เทียบกับ 15% มาตรฐาน) สาเหตุหลักจากการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟสูงเกินจริง ผู้เขียนจึงลองปรับลดตัวเลขคาดการณ์ปริมาณคาร์บอนจากการผลิตไฟฟ้าของปี 2018 ลง 15% (น้อยกว่าส่วนเกิน 20% เล็กน้อย) เหลือ 80 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า และพยากรณ์ให้ตัวเลขปริมาณคาร์บอนของภาคพลังงานทั้งหมดสูงขึ้นปีละ 3% โดยสมมุติว่าเศรษฐกิจระหว่างปี 2020-2030 จะไม่สามารถเติบโตได้มากกว่า 3% ผลที่ได้จะทำให้ตัวเลขประมาณการก๊าซเรือนกระจกในกรณีปกติ (BAU) ในปี 2030 ลดลงเหลือ 480 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า น้อยกว่าตัวเลข BAU ปี 2030 ที่รัฐบาลไทยใช้กำหนด INDC ราว 16% (480 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า เทียบกับ 555 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า)
พูดง่ายๆ คือ ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่เศรษฐกิจโตช้า และปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าที่คาดการณ์ในแผน PDP ประเทศไทยก็อาจมีแนวโน้มจะ ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’ ได้แล้วกว่า 16% จากเป้า 20% ที่ประกาศต่อชาวโลก เพียงเพราะเราคาดการณ์การปล่อยคาร์บอนในกรณีปกติหรือ BAU สูงเกินจริง!
ด้วยเหตุนี้ การออกเดินบนเส้นทางสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่แท้จริงในความเห็นของผู้เขียน จึงต้องเริ่มต้นจากการหมั่นทบทวน BAU ให้สมเหตุสมผลและสะท้อนสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ไม่เฉพาะแต่ภาคพลังงานแต่รวมถึงภาคส่วนอื่นๆ ด้วย ควบคู่ไปกับการเริ่มออกแบบ ‘แผนการเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน’ ลดการใช้และการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่หักดิบ ไม่ปฏิเสธทางเลือกใดๆ โดยเฉพาะทางเลือกที่ได้รับการพิสูจน์ทั่วโลกแล้วว่าคุ้มค่ามากในแง่ต้นทุนเทียบกับประโยชน์ อย่างการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (energy efficiency)
ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เราออกกฎหมายโลกร้อนได้เป็นประเทศแรกๆ ในโลก และต่อให้เราประกาศว่าเรา ‘บรรลุ’ เป้าหมายการลดคาร์บอนได้ 20% ตาม INDC สิ่งเหล่านี้ก็อาจไม่มีความหมายใดๆ เลย ถ้าเราไม่เคยปรับเปลี่ยนฐานการคำนวณให้สะท้อนความเป็นจริง และสอดคล้องกับความรุนแรงเร่งด่วนของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.