สก็อต แนช (Scott Nash) ผู้ก่อตั้งร้านค้าปลีกอินทรีย์ MOM’s Organic Market ได้ทำการทดลองครั้งสำคัญที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ว่าเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ‘วันหมดอายุ’ บนฉลากเพียงใด สิ่งแรกที่เขารับประทานคือโยเกิร์ตที่เลยวันที่ ‘ควรบริโภคก่อน’ ไปแล้ว 180 วัน
ผลปรากฏว่าเขายังอยู่ดีมีสุข และเริ่มขยายการทดลองสู่ชีวิตประจำวันโดยชักชวนคนในครอบครัวมาร่วมด้วยเพื่อกำจัด ‘ขยะอาหาร’ ที่ลงถังเนื่องจากล่วงเลยวันที่กำหนดไว้บนบรรจุภัณฑ์ เขาทำตีครีมที่เลยวันหมดอายุบนกล่องไปแล้ว 4 เดือน ผัดซอสเพสโตที่เลยวันหมดอายุไปแล้ว 7 เดือนเศษ ผสมกับเนื้อวัวบด (อายุ 15 วัน) ปลาเทราท์รมควัน (24 วันให้หลังจากที่ระบุบนสินค้าว่า ‘ควรจำหน่ายก่อน’) ซุปไก่ (อายุล่วงเลยกว่า 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่ระบุให้ควรบริโภคก่อน) รับประทานคู่กับแป้งตอติลญาอายุ 1 ปีเต็ม แต่ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการรับประทานอาหารเหล่านี้แต่อย่างใด
แน่นอนครับว่าแนชและครอบครัวไม่ใช่ยอดมนุษย์ผู้มีกระเพาะที่ทนทานต่อเชื้อแบคทีเรียมากกว่าคนปกติ พวกเขาคือมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่ก้าวข้ามความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวันหมดอายุโดยมีเป้าหมายเพื่อลดขยะอาหาร โดยข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ประชาชนทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศร่ำรวยสร้างขยะอาหารปริมาณราว 1.3 พันล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตได้ทั่วโลกในแต่ละปี แต่สิ่งที่ย้อนแย้งคือประชาชนอีกกว่า 800 ล้านคนกลับไม่มีอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีพ
สาเหตุสำคัญของวัตถุดิบที่ต้องถูกทิ้งโดยที่ไม่ผ่านการเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารด้วยซ้ำคือ ‘วันหมดอายุ’ โดยมีการศึกษาพบว่าผู้บริโภคสัดส่วนร้อยละ 84 ทิ้งอาหารที่ยังสามารถรับประทานต่อได้เพียงเพราะเห็นว่าเลยวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากมาแล้ว
‘วันหมดอายุ’ หมายถึงอะไร?
วิบากกรรมของครอบครัวแนชต้องเผชิญในฐานะอเมริกันชนคือข้อบังคับเกี่ยวกับวันหมดอายุในแต่ละรัฐนั้นมีความแตกต่างกันออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ ‘วันหมดอายุ (expiration)’ ‘ควรใช้ก่อน (use by)’ ‘ควรบริโภคก่อน (best by)’ ‘ควรจำหน่ายก่อน (sell by)’ ‘คุณภาพเยี่ยมหากใช้ก่อน (best if used by)’ และอีกสารพัดซึ่งชวนให้งุนงงสับสน กระทั่งเขาซึ่งทำงานในแวดวงร้านค้าปลีกเองก็ไม่อาจเข้าใจระบบดังกล่าวได้อย่างถ่องแท้ โดยมองว่าวันที่ระบุบนฉลากนั้นเหมือนเขียนอะไรก็ได้ตามใจผู้ผลิต
กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางอาหารจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ เองยังให้สัมภาษณ์ว่าอาหารอย่างอาหารกระป๋องนั้น สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยแม้จะล่วงเลยวันหมดอายุไปนานแล้ว หากบรรจุภัณฑ์ยังอยู่ในสภาพดี ไม่บุบบุ๋มบวม มีสนิท หรือมีร่องรอยของการรั่วไหล
รายงานฉบับหนึ่งระบุว่าความงุนงงสับสนเกี่ยวกับวันที่บนฉลากอาหารคือสาเหตุสำคัญที่อาหารในสหรัฐอเมริกากว่าร้อยละ 40 ถูกทิ้งลงถังขยะโดยไม่ได้ถูกรับประทาน เนื่องจากระบบวันหมดอายุบนฉลากนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการรับประทานอาหารอย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนกฎหมายไทยก็มีกำหนดให้มีการระบุ ‘วันหมดอายุ’ และ ‘ควรบริโภคก่อน’ บนฉลาก คำศัพท์อย่างหลังมักจะคุ้นตากันมากกว่าสำหรับการซื้ออาหารซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้ให้นิยามไว้ว่า
“ควรบริโภคก่อน” หมายความว่า วันที่ซึ่งแสดงการสิ้นสุดของช่วงเวลาที่อาหารนั้นยังคงคุณภาพดี
ภายใต้เงื่อนไขการเก็บรักษาที่ระบุไว้ และหลังจากวันที่ระบุไว้นั้น อาหารนั้นวางจําหน่ายไม่ได้
อ่านดูเหมือนกับว่ากฎหมายไทยได้ขีดเส้นชี้ขาดระหว่างวันที่ ควร-ไม่ควร รับประทานอาหารและช่วงเวลาที่อาหารนั้นมีคุณภาพดี-ไม่ดี อย่างชัดเจน แต่หากใครสังเกตบรรจุภัณฑ์อาหารจะพบว่า ‘ควรบริโภคก่อน’ ของไทยจะใช้คู่กับคำว่า ‘best before’ ซึ่งหากแปลแบบตรงตัวจะหมายถึง ‘คุณภาพดีที่สุดก่อนถึงวันที่’ ถ้าหากแปลไทยเป็นไทยอีกทีก็หมายความว่าต่อให้พ้นวันที่ระบุไว้ อาหารเหล่านั้นก็ยังรับประทานได้
คำว่า best before หรือ best buy ตามนิยามสากลจะหมายถึงช่วงเวลาที่อาหารมีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด แต่หลังจากนั้นก็ยังรับประทานได้อย่างปลอดภัยแต่อาจสูญเสียรสชาติหรือรสสัมผัสไปบางส่วน โดยวันที่ดังกล่าวเป็นการคาดการณ์โดยผู้ผลิต ภายใต้เงื่อนไขการเก็บรักษา เช่น อุณหภูมิหรือความชื้นตามที่ระบุไว้
อย่างไรก็ดี หากผลิตภัณฑ์ใช้คำว่าวันสิ้นอายุหรือวันหมดอายุ (expiry date) ซึ่งเรามักพบในผลิตภัณฑ์อุปโภคหรือสินค้าจำพวกยา แบบนี้ห้ามใช้หลังวันที่ที่ระบุไว้เด็ดขาดเพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจเสื่อมสภาพหรือเสื่อมสรรพคุณไปแล้ว
แล้วอาหารแบบไหนถึงควรจะทิ้ง?
แม้สินค้าจำพวกอาหารจะใช้การระบุบนฉลากว่า ควรบริโภคก่อน/best before จะสามารถนำมารับประทานได้หลังจากวันที่ดังกล่าว แต่เราก็ต้องใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสภาพสินค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า ‘เสีย’ แล้วหรือยัง เช่น ดูอ่อนยุ่ยผิดปกติ สีเริ่มเปลี่ยน มีเชื้อรา หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ในระดับรุนแรง หากพบสินค้าเช่นนี้ ต่อให้วันที่บนฉลากจะยังไม่ระบุว่าหมดอายุก็ควรจะทิ้งลงถังขยะทันที
การตัดสินใจว่าอันไหนรับประทานได้หรืออันไหนควรเป็นขยะจึงควรพึ่งพาการรับรู้ของเราเองไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น สี สัมผัส ส่วนวันที่บนฉลากนั้นควรเป็นเพียงปัจจัยรอง
การลดขยะอาหารในครัวเรือนสามารถเริ่มได้ตั้งแต่การซื้ออาหารในปริมาณที่พอเหมาะและจัดเก็บให้ถูกต้อง ส่วนภาครัฐก็ควรมุ่งหน้าทลายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวันที่บนฉลากที่นอกจากจะช่วยประหยัดทั้งเงินในกระเป๋าของประชาชนแล้ว ยังลดปัญหาขยะล้นเมืองซึ่งจากข้อมูลโดยกรมควบคุมมลพิษพบว่า ในปี พ.ศ. 2560 ขยะอาหารคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 64 เปอร์เซ็นต์ของขยะทั้งหมดในไทย หรือราว 17.6 ล้านตัน
แต่หากภาครัฐไม่คิดจะขยับหรือมองข้ามโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ ภาคเอกชนก็สามารถเดินหน้าเองได้ เช่นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคยูนิลีเวอร์ที่จับมือกับสตาร์ตอัพเพื่อแก้ไขปัญหาขยะอาหาร Too Good To Go ปรับฉลากสินค้าบางชนิดจากเดิมที่ระบุเพียง ‘ควรบริโภคก่อน (best before)’ โดยเพิ่มเติมเป็น ‘ควรบริโภคก่อน แต่หลังจากนี้ก็ยังพอใช้ได้ (Best before, Often good after)’ เพื่อบรรเทาความเข้าใจผิดของผู้บริโภค
ส่วนในประเทศไทย ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างเทสโก้ โลตัส ก็ประกาศยกเลิกการระบุวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์ผักและผลไม้สดกว่า 251 รายการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคทิ้งอาหารที่ยังรับประทานได้เพราะความเข้าใจผิดเรื่องวันที่บนฉลาก ส่วนรายงานการศึกษาเรื่องปัญหาขยะอาหารโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเสนอว่ารัฐควรมีการปรับปรุงกฎหมายรวมถึงสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น แรงจูงใจทางภาษี เพื่ออุดหนุนให้ภาคเอกชนนำอาหารไปบริจาคแทนที่จะถูกทิ้งกลายเป็นขยะ
นับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่บนโลกเรายังมีคนที่หิวโหยจำนวนมหาศาล แต่อาหารจำนวนมากกลับถูกทิ้งเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวันหมดอายุ เราในฐานะผู้บริโภคเองก็มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเริ่มง่ายๆ คือการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งอะไรลงถังขยะ โดยอย่างมองเพียงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล่วงเลยวันหมดอายุมาแล้ว
เอกสารประกอบการเขียน
The truth about expired food: how best-before dates create a waste mountain