เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยโดนเพื่อนยกเลิกนัด หรือแผนการท่องเที่ยวล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เนื่องจากจำนวนคนที่สะดวกเข้าร่วมทริปมีน้อยเกินไป แตกต่างจากสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่อาจรวมกลุ่มไปไหนมาไหนกันคล่องตัวกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแต่ละคนมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นตามวัย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว การเงิน การศึกษาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงานที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องมีอาชีพ (ที่ทั้งชอบและใช่) เพื่อหาเงินเลี้ยงดูตนเอง (และผู้อื่น) แทนการอุปถัมภ์ค้ำจุนจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองเช่นในวัยเด็ก

ความรับผิดชอบเรื่องงานมีส่วนสำคัญไม่มากก็น้อยที่ยังผลให้หลายต่อหลายคน “ไม่ (ค่อย) มีเวลา” ในการทำอะไรต่อมิอะไร[1] ผลสำรวจโดยบริษัท จีเอฟเค ประเทศไทย จำกัด พบว่า พนักงานประจำในประเทศไทยทำงานเฉลี่ย 51 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มากกว่าค่าเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของพนักงานประจำทั่วโลกที่อยู่ที่ 36.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่มีคนทำงานหนักมากที่สุดในทวีปเอเชีย

งานกับทุนนิยมเสรีนิยมใหม่

ค่านิยมเรื่องการทำงานหนัก (จนกระทั่งไม่มีเวลา!) มาพร้อมกับบริบทสังคมแบบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ ด้านหนึ่ง การทำงานหนักหมายถึงการสร้างชีวิตที่ดีขึ้น เราจึงถูกพร่ำสอนตั้งแต่เด็กจนโตว่าต้องขยันทำงาน (เพื่อให้เป็นเจ้าคนนายคน) ห้ามอยู่ว่าง ๆ หายใจทิ้ง หรือปล่อยให้เวลาหมุนไปอย่างไร้ค่า จึงไม่แปลกที่พบว่าคนส่วนใหญ่ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งการทำงานล่วงเวลา การควงกะ จนกระทั่งการมีอาชีพเสริม แต่อีกด้านหนึ่ง การทำงานหนักได้ส่งผลให้หลายคนเกิดความรู้สึกหมดไฟในการทำงาน (burn out) เครียด เป็นโรคซึมเศร้า หรือร่างกายทรุดโทรม อันเป็นผลมาจากความเครียดจากภาระหน้าที่ สภาพแวดล้อมการทำงานที่โหดร้าย และการกดขี่ค่าแรงภายใต้การแข่งขันในระบอบทุนนิยม การทำงานหนักเพื่อให้เราต่างมีชีวิตที่ดีขึ้น ที่มาพร้อมกับชีวิตที่แย่ลงจึงสะท้อนถึงสภาวะที่ไม่ลงรอยกันของการทำงานที่เราต่างเผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน

Sarah Jaffe นักข่าวสายแรงงานชาวอเมริกันเสนอว่า ความไม่ลงรอยดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ทุนนิยมเสรีนิยมใหม่บอกกับเราว่า “เราต้องรักงานของเรา” หรือพูดอีกอย่างคือ เราต้องเป็นแรงงานแห่งความรัก[2] (Labour of love) หมายถึง การที่ทุกคนต้องดิ้นรนหางานที่ตนเองรักและอุทิศตนให้กับงานนั้น ๆ ด้วยความซื่อสัตย์อย่างแรงกล้า ดังนั้นการไม่พบเจอกับงานที่ใช่หรือมีความรู้สึกเกลียดงานของตนจึงเป็นความผิดของปัจเจกบุคคลผู้นั้น อีกทั้งการออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานก็เป็นเรื่องผิดหรือเห็นแก่ตัว ด้วยเหตุที่การกระทำดังกล่าวสื่อว่าเรายังรักงานของเราไม่มากพอ ไอเดียดังกล่าวฉายภาพให้เห็นว่า งานได้ถูกใส่ความหมายเรื่องความรักเข้าไป ซึ่งฟังก์ชันหลักของมันคือ การควบคุมแรงงานให้อยู่ในกฎกติกาที่กำหนด มิให้ออกมาต่อสู้ต่อรองเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงาน ตลอดจนลดทอนประสบการณ์การทำงานให้กลายเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล กล่าวอีกอย่างคือ ทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ได้บีบบังคับให้เราต้องยอมรับเงื่อนไขการทำงานที่เลวร้าย และทำให้ปัญหาเรื่องสภาพการทำงานไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง

ที่มาภาพ https://www.docwirenews.com/condition-center/atrial-fibrillation/atrial-fibrillation-burnout-exhaustion/

ซ้ำร้ายกว่านั้นในโลกทุนนิยมยังมีงานน่าเบื่อและงานไร้สาระจำนวนมาก แต่เราก็จำเป็นต้องฝืนยิ้มและเสแสร้งว่ายังคงต้องการทำงานแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญคือยังต้องแกล้งรักงานอย่างสุดหัวใจไม่ว่าเราจะอยู่ตำแหน่งใดในบริษัทก็ตาม Mark Fisher เปรียบเปรยสิ่งนี้กับหนังผู้ใหญ่ประเภทราดหน้า (Bukkake) ซึ่งเป็นฉากที่ผู้หญิงโดนผู้ชายรุมสำเร็จความใคร่บนใบหน้า ซึ่งผู้หญิงต้องเสแสร้งว่าตัวเองนั้นฟินสุด ๆ ด้วยการเลียหรือลิ้มรสน้ำอสุจิที่น่าขยะแขยง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเธอกำลังเศร้าสร้อยอยู่ก็ตาม (Fisher, K-Punk อ้างจาก สรวิศ ชัยนาม, 2562)

และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนจำนวนหนึ่งรู้ตัวว่า งานที่กำลังทำอยู่นั้นสูบเวลาชีวิตและบั่นทอนสุขภาพมหาศาล แต่โชคร้ายที่ทุกคนต่างหลีกหนีจากมันไปไม่ได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่หยุดทำงานทุนนิยมจะลงโทษเราด้วยการระงับการจัดส่งอาหาร ยา เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ฯลฯ มาให้เรา (เพราะไม่มีเงินไปซื้อ) เช่นที่ Amelia Horgan นักวิจัยจากสหราชอาณาจักรกล่าวในหนังสือของเธอเรื่อง Alone and Lost In Work: Escaping Capitalism ว่า “เกือบทุกครั้งเราต้องการงานมากกว่าที่งานต้องการเรา เราเข้าสู่การทำงานอย่างไม่เป็นอิสระ และเมื่อเราอยู่ในที่ทำงาน เวลาของเราก็ไม่เป็นของเราอีกต่อไป” ประเด็นนี้ยังสามารถตีความได้ว่ามูลค่าส่วนเกินที่แรงงานสร้างขึ้นขณะทำงานได้ถูกนายทุนฉกฉวยไปสร้างผลกำไร บทสัมภาษณ์ของเพจ พูด ให้คำอธิบายไว้อย่างดีเยี่ยมว่า เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน และเราอุทิศเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงให้กับงาน แต่พวกนายทุน (ที่มีเวลาหนึ่งวันเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง) ยังมีเวลาอีกอย่างน้อย 8 ชั่วโมงของลูกจ้างแรงงานในบริษัทอีกนับหมื่นกว่าคน สรุปได้ว่านายทุนนั้นมีเวลาจากการขูดรีดแรงงานเกือบหนึ่งแสนชั่วโมงต่อวัน เพื่อสร้างผลกำไรเข้ากระเป๋าตนเอง ดังนั้นมายาคติของทุนนิยมที่บอกว่าการทำมากได้มากจึงกลายเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะหลักฐานได้พิสูจน์ชัดแล้วว่าคนที่ทำมากกลับไม่ได้อะไรเลย แต่คนที่ไม่ทำหรือพวกนายทุนเจ้าของปัจจัยการผลิตต่างหากที่เป็นผู้กอบโกยทุกอย่างไปจนหมด

ขั้นต่ำคือต้องเรียกร้องเพื่อลดเวลาการทำงานลง

ในเมื่องานได้พรากชีวิตและความสุขของเราไปมากล้น การเรียกร้องเพื่อลดเวลาการทำงานลงอย่างน้อยน่าจะช่วยให้แรงงาน 99 เปอร์เซ็นต์ได้พักผ่อนจิตใจและสุขภาพ ตลอดจนมีเวลาทำในสิ่งที่ต้องการได้บ้าง ดังที่ Jamie Mccallum ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยามองว่า นอกจากแรงงานควรเรียกร้องค่าแรงเพิ่มขึ้นแล้ว พวกเขายังควรเรียกร้องเพื่อลดเวลาการทำงานลงอีกด้วย

ในประเทศไอซ์แลนด์ สหภาพแรงงานและองค์กรรากหญ้าหลากหลายแห่งกดดันให้รัฐดำเนินการทดลองทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ ช่วงระหว่างปี 2015 ถึง 2019 แต่ไม่ลดค่าจ้างของคนงาน ผู้เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้ประกอบด้วยคนงานในภาครัฐ กลุ่มคนงานอื่น ๆ เช่น กลุ่มคนทำงานประจำ (เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น) และกลุ่มที่ทำงานไม่เป็นเวลา (nonstandard shifts) ซึ่งคนงานในภาครัฐมากกว่า 2,500 คน ได้เปลี่ยนจากการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็น 35 หรือ 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ผลการทดลองนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก วัดผลได้จากความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของแรงงาน และประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น

ที่มาภาพ: https://www.my15hourworkweek.com/about-the-blog/

ข้อมูลจากการทดลองครั้งนี้เผยว่า แรงงานต่างรายงานว่าตนมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีความเครียดและสภาวะหมดไฟจากการทำงานลดน้อยลง ตลอดจนพวกเขายังใช้เวลากับครอบครัวและการพักผ่อนหย่อนใจมากขึ้น ในส่วนของประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการ (service provision) ยังอยู่ในระดับเท่าเดิมหรือดีขึ้นในสาขางานส่วนใหญ่ การต่อสู้ต่อรองเรื่องนี้ส่งผลให้แรงงานจำนวน 86 เปอร์เซ็นต์ของไอซ์แลนด์มีเวลาการทำงานสั้นลงหรือไม่ก็มีสิทธิที่จะต่อรองให้ลดเวลาการทำงานลงได้ในอนาคต ซึ่งนอกจากไอซ์แลนด์แล้วประเทศแถบนอร์ดิกอย่างฟินแลนด์หรือสวีเดนก็มีนโยบายให้คนมีเวลาในการทำงานน้อยลง

การจัดอันดับของ World Happiness Report พบว่า ประเทศในแถบนี้สลับกันขึ้นมารั้งอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีความสุขมากที่สุด โดยประเทศนอร์เวย์ เดนมาร์ก และฟินแลนด์คือประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกประจำปี 2013 2016 และ 2019 ตามลำดับ นอกจากการเป็นรัฐสวัสดิการหรือการมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงอย่างการจัดการศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรีแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศเหล่านี้ติดอันดับท็อปของประเทศที่มีความสุข คือการที่ประชากรมีจำนวนชั่วโมงทำงานที่สั้น รวมถึงมีวันลาพักร้อนแบบไม่ถูกหักเงินเดือนตามกฎหมาย (paid vacation) อีกด้วย เช่นที่ประเทศเดนมาร์ก ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาในช่วงกลางปีไปกับการพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจากพนักงานประจำทุกตำแหน่งอาชีพได้รับสิทธิในการลาพักร้อนเป็นเวลาห้าสัปดาห์ เราอาจสรุปอย่างหยาบได้ว่า การมีเวลาว่างสำหรับการผ่อนคลาย อยู่กับงานอดิเรก ทำตามความฝัน ใช้ชีวิตกับคนที่รัก หรือแม้แต่การนอนหายใจทิ้ง ทำให้ประชากรในประเทศเหล่านี้มีความสุข

จะเดินไปสู่จุดนั้นอย่างไร ?

หากพิจารณาบริบทประเทศไทย การเดินทางไปถึงจุดที่รัฐมีนโยบายการลดเวลาการทำงานลงค่อนข้างเป็นเรื่องยาก เหตุผลหนึ่งคือไทยยังอยู่ภายใต้การปกครองโดยเผด็จการทหาร อย่างไรก็ตาม หากเราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิและเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษยชาติ เราก็ควรส่งเสียงเรียกร้องเพื่อให้ได้มา เพราะประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การเรียกร้องสิทธิแรงงานหรือการเรียกร้องเพื่อลดเวลาการทำงานลง คือชัยชนะของแรงงานที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งถึงสองศตวรรษที่ผ่านมา ดังเช่น ในปี 1856 ช่างหินในออสเตรเลียประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการเรียกร้องเพื่อลดชั่วโมงการทำงานจาก 10 เหลือ 8 ชั่วโมง เป็นต้น

บทเรียนข้างต้นสะท้อนว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการต่อสู้ต่อรองอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีโดยปราศจากการต่อสู้เรียกร้อง ในกรณีของไทย การเดินทางไปถึงจุดนั้นอาจต้องเริ่มจากการจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างสำนึกความเป็นแรงงานและใช้มันเป็นเครื่องมือต่อรองกับนายจ้าง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เราจำเป็นต้องสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยทุกรูปแบบ เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดจนการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการจะเป็นไปไม่ได้หากเรายังติดอยู่ในระบอบที่แม้แต่สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนถูกลิดรอนอยู่ตลอดเวลา

 

เชิงอรรถ

[1] เช่น เวลาในการอ่านหนังสือ ในประเทศไทยพบว่ากลุ่มของผู้ที่ไม่อ่านหนังสือมีถึง 21.2 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นประชากร 13.7 ล้านคน ซึ่งหนึ่งในเหตุผลของการไม่อ่านหนังสือคือ ไม่มีเวลา

[2] Jaffe ศึกษาคนงานในอุตสาหกรรมที่ความรักและการดูแลเป็นอุดมการณ์ที่อยู่รายรอบงานของพวกเขา/เธอ ได้แก่ การดูแลเด็ก การสอน การขายปลีก องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ศิลปะ การฝึกงาน วิชาการ เทคโนโลยี เกมและกีฬา

ข้อมูลประกอบการเขียน

All of Us Should Be Working Four-Day Weeks

Capitalism Can’t Give Us Meaningful Work

We Need a Shorter Workweek to Free Us From the Tyranny of Work

Work, work, work: debating the changing workplace

Work-life balance secrets from the happiest countries in the world

คนไทยทำงานสัปดาห์ละ 51 ชั่วโมง สูงที่สุดในเอเชีย!

‘ประชาธิปไตยในที่ทำงาน จงโกแมส’ จับเข่าฟังเพจ ‘พูด’ ในสิ่งที่อยากพูดและสังคมที่วาดฝัน

ผลสำรวจการอ่านคนไทยปี 2561 ชี้ชัด คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น 80 นาทีต่อวัน

มนุษย์อึด ถึก ต้องยกให้ ‘คนไทย’ ผลวิจัยชี้หนึ่งสัปดาห์ทำงานกันถึง 51 ชม.!!

สรวิศ ชัยนาม. (2562). เมื่อโลกซึมเศร้า…Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์. กรุงเทพฯ.