ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยเหตุนี้คำถามสำคัญที่ตามมาจึงเป็นคำถามที่ว่า ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านพลังงานเมื่อไหร่? และการเปลี่ยนผ่านที่ว่านั้นเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมหรือไม่?
คำถามดังกล่าวคือประเด็นที่ สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ป่าสาละ จำกัด หยิบยกไปขึ้นพูดบนเวทีภายในงาน Sustrend 2026 ในหัวข้อ ‘Unlocking Energy for All ปลดล็อกพลังงานเพื่อทุกคน’ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งอธิบายว่าประเทศไทยจำเป็นต้อง ‘ปลดล็อก’ บางสิ่งบางอย่าง เพื่อทำให้อำนาจการจัดการพลังงานไม่เกิดการรวมศูนย์ และนำไปสู่ประชาธิปไตยพลังงานอย่างแท้จริง
และต่อไปนี้คือเรื่องประเทศไทยต้องปลดล็อก…

Source: The Cloud
ปลดล็อกทัศนคติต่อพลังงานหมุนเวียน
มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่พึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิลมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าทัศนคติที่เรามีต่อเรื่องพลังงานก็อาจถูกตีกรอบเอาไว้ โดยเฉพาะกับความเชื่อที่ว่าพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้ ในประเด็นนี้สฤณีอธิบายค้านว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว โดยอ้างอิงรายงานชิ้นสำคัญจาก International Energy Agency (IEA)
“International Energy Agency (IEA) องค์กรระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในเรื่องนโยบายพลังงาน ได้จัดทำรายงานในชื่อ ‘Net Zero by 2050’ บอกว่า ภาคการผลิตไฟฟ้าทั้งโลกจะต้องใช้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ (แค่สองตัวเท่านั้น) อย่างน้อย 70% ภายในปี 2050 และนี่คือพลังงานหมุนเวียนที่คนบอกกันว่าผันผวน พึ่งพาไม่ได้ จะมีได้ก็ต่อเมื่อแดดออกและลมพัด แต่ถ้าเกิด IEA ยืนยัน ก็แปลว่า มันสร้างความมั่นคงให้เราได้”

Source: The Cloud
สฤณียังยกตัวอย่างประเทศที่สามารถเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ถูกมองว่าผันผวนได้อย่างรวดเร็วและก้าวหน้า เช่น ประเทศเดนมาร์กที่สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานลมและแสงอาทิตย์จาก 20% เป็น 51% ประเทศลิทัวเนียที่สามารถเพิ่มสัดส่วนเดียวกันนี้ได้จาก 14% เป็น 43% หรือแม้แต่ประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตสงครามอย่างรัฐปาเลสไตน์ก็เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจาก 2% เป็น 22% ได้เช่นกัน และทุกประเทศยังทำทั้งหมดนั้นได้ภายในเวลาเพียงแค่ 5 ปี
“ถ้าประเทศที่อยู่ในช่วงสงครามยังทำได้ ทำไมประเทศไทยจะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันหมดยุคแล้วที่จะบอกว่า พลังงานหมุนเวียนสร้างความมั่นคงให้เราไม่ได้”

Source: Chelsea
ปลดล็อกทัศนคติต่อการจัดการพลังงานและความพร้อมของเทคโนโลยี
ประเด็นถัดมาที่มักตกอยู่ข้อถกเถียงของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมคือการจัดการพลังงาน ซึ่งอาจมีบางฝ่ายเชื่อว่าประชาชนหรือผู้คนในระดับชุมชนไม่สามารถจัดการพลังงานด้วยตัวเองได้ ประชาชนจำเป็นต้องรอซื้อไฟฟ้าจากรัฐ รอระบบโครงข่ายไฟฟ้าอยู่ฝ่ายเดียว หรือไม่สามารถติดแผงโซลาร์เซลล์ด้วยตัวเองได้เพราะราคาแพงเกินไป ทว่าทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้วเมื่อพิสูจน์จากกรณีของประเทศปากีสถาน
สฤณียกตัวอย่างว่า “ปากีสถานเป็นประเทศยากจน เขาจนกว่าเราเยอะ ระบบไฟฟ้าไม่ค่อยเสถียร ไฟติดๆ ดับๆ และมีราคาแพง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกมหาศาลที่ไหลทะลักมาจากประเทศจีนจนเกิดสงครามราคา สงครามราคาทำให้ประชาชนปากีสถานทั่วประเทศลุกขึ้นมาติดแผงโซลาร์เซลล์กันขนานใหญ่ ติดในเมือง ติดในชนบท ติดทุกที่ ในชนบทเกษตรกรลงขันกันซื้ออุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีการจัดการและหมุนเวียนกันใช้ผ่านระยะเวลาของวัน
“นี่คือการสร้างประชาธิปไตยพลังงานจากฐานรากโดยไม่ต้องอาศัยนโยบายภาครัฐ ไม่เกี่ยวอะไรกับความรู้สึกรักษ์โลกเลย แต่เป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจล้วนๆ เพราะเราอยู่ในยุคที่พลังงานหมุนเวียนแข่งขันได้แล้ว”

Source: Watt A Lot
ในประเทศไทยเองก็มีชุมชนที่มุ่งหวังจะจัดการพลังงานด้วยตัวเองเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือจังหวัดกระบี่ที่มีแหล่งทรัพยากรชีวมวลมากมายจากน้ำมันปาล์ม มีลมและแสงอาทิตย์เพียงพอที่จะผลิตพลังงานหมุนเวียนเองได้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของกระบี่หวังจะให้ตัวเองเป็นจังหวัดที่มีพลังงานหมุนเวียน 100% และนำตรงนี้มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่รักสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนทั้งจากหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชน เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับจังหวัดสระบุรี หัวใจของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซีเมนต์และภาคการผลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่า สระบุรีจะมุ่งหน้าเป็นจังหวัดที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน ผู้ประกอบการ และโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ แต่สุดท้ายทั้งสองจังหวัดกลับไม่สามารถดำเนินการตามที่หวังได้ เนื่องจากติดปัญหาระบบพลังงานชาติที่มีการรวมศูนย์ ข้อจำกัดของโครงข่าย และข้อจำกัดด้านการลงทุน
ในด้านเทคโนโลยี งานวิจัยล่าสุดจาก Bloomberg New Energy Finance (BNEF) ได้เข้ามาศึกษาในประเทศไทยและพบว่า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับแบตเตอรี่ในไทยมีต้นทุนพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) ที่ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าฟอสซิลแล้วในตอนนี้ ด้านพลังงานน้ำก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ (pumped hydro) ที่สามารถใช้เพื่อรองรับความยืดหยุ่นของความต้องการใช้ไฟฟ้าได้
“ช่วงไหนความต้องการใช้ไฟต่ำก็สูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำข้างล่างขึ้นไปพักไว้ที่อ่างเก็บน้ำข้างบน ช่วงไหนความต้องการใช้ไฟสูงก็ปล่อยน้ำลงมาจากข้างบนเท่ากันกับการกำลังการผลิตไฟฟ้า สร้างความมั่นคงให้กับระบบ”

Source: The Cloud
ปลดล็อกอำนาจการจัดการพลังงาน
ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ว่าจะทัศนคติที่ผู้คนมีต่อพลังงานหมุนเวียน การจัดการพลังงาน และความพร้อมของเทคโนโลยี ล้วนเป็นสิ่งที่สังคมไทยสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันที และมีศักยภาพเพียงพอที่จะเปลี่ยนผ่านพลังงานได้ แต่การจะทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้จำเป็นต้องได้รับการลงทุนในด้านการจัดการพลังงานฝั่งผู้ใช้ (demand side management) เสียก่อน ทั้งในการลงทุนกับระบบอัจฉริยะ (เช่น การชาร์จ EV อัจฉริยะ) หรือการสร้างมาตรการจูงใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ (เช่น กำหนดช่วงเวลาใช้งานที่แตกต่างกัน) ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากสุดท้ายประชาชนไม่มี ‘อำนาจ’ ในการจัดการพลังงาน
“เราไม่มีทางทำสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าระบบวิธีคิดของรัฐไทยและระบบพลังงานยังเป็นแบบรวมศูนย์ ผูกขาดอย่างมโหฬาร ปกป้องกลุ่มผลประโยชน์เดิมๆ” สฤณีกล่าวพร้อมทั้งพูดถึงสัญญาระยะยาวที่เรียกว่าสัญญาไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) ของโรงไฟฟ้าฟอสซิล ที่มีค่าความพร้อมจ่ายอยู่ในนั้น แต่ประชาชนไม่มีสิทธิออกเสียง และเป็นสัญญาที่ไม่เคยมีการเจรจาต่อรองใดๆ

Source: The Cloud
สฤณีทิ้งท้ายว่า “เราไม่มีทางที่จะปลดแอกตัวเองได้ ต่อให้เราปลดล็อกทัศนคติไปแล้ว ปลดล็อกเทคโนโลยีไปแล้ว แต่การปลดล็อกอำนาจให้มุ่งหน้าสู่การเปิดเสรีที่แท้จริงของภาคพลังงาน ต่างหากที่เป็นตัวพิสูจน์ชัดเจนว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยพลังงานที่แท้จริง เพราะมีแต่ประชาธิปไตยพลังงานเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยุติธรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประชาชนได้ประโยชน์ ประชาชนมีพลังมากขึ้น และเป็นวิธีที่จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในยุคโลกเดือด”