เจเนอเรชันแซดหรือเจนแซด (generation z) คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2539 – 2555 มีความใส่ใจเรื่องความโดดเด่น ความสร้างสรรค์ จริยธรรม และไม่สนใจเรื่องสถานภาพทางสังคมนัก พวกเขาก้าวย่างสู่วัยผู้ใหญ่ในช่วงที่โลกเผชิญกับโรคระบาดครั้งใหญ่ และคำเตือนมากมายเกี่ยวกับภัยพิบัติในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสก็จะเกินขีดความสามารถของโลกที่จะรับมือ และสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็จะกลายเป็น“มหันตภัยทางสภาพภูมิอากาศ” (climate catastrophe)
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด เจนแซดหลายพันคนทั่วโลกที่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงนัดหยุดเรียนเพื่อภูมิอากาศ (climate strike) เพื่อรวมตัวกันในวันที่ 20 และ 27 กันยายน พ.ศ. 2562 ซึ่งต่อยอดมาจากโครงการวันศุกร์เพื่ออนาคต (Friday for Future) ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 โดยเกรตา ธันเบิร์ก เด็กสาวชาวสวีเดนผู้ใส่ใจในปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีอายุเพียง 16 ปี
ก่อนหน้านั้น ในปี 2554 ไมโล เครส เด็กหนุ่มวัย 9 ปี (ปัจจุบัน 18 ปี) ได้เริ่มโครงการเลิกใช้หลอด “Be Straw Free” จากประสบการณ์การซื้อน้ำตามร้านอาหารที่มาพร้อมกับหลอดเสมอ แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นในการดื่มน้ำด้วยหลอด และเมื่อศึกษาข้อมูลการใช้หลอดพลาสติกในสหรัฐอเมริกาก็พบว่าในแต่ละวันมีการใช้หลอดพลาสติกราว 500 ล้านหลอด แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่หลอดก่อให้เกิดขยะพลาสติกที่ไม่จำเป็นมากมาย ทำให้ไมโลตัดสินใจเริ่มโครงการเลิกใช้หลอด โครงการของเขาได้รับความสนใจจากสื่อ และทำให้เกิดการถกเถียงในระดับโลกเรื่องการลดปริมาณขยะพลาสติก
เกรตาและไมโลไม่ใช่เจนแซดเพียงสองคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ได้สำรวจประชากรอายุ 18-25 ปี หรือกลุ่มเจนแซด 10,000 คน ใน 22 ประเทศทั่วโลก โดยให้เลือกปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ 5 ประเด็นจาก 23 ประเด็น พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นที่คนเจนแซดเห็นว่ามีความสำคัญมากที่สุด (ร้อยละ 41) ตามมาด้วยประเด็นมลภาวะ (ร้อยละ 36) และการก่อการร้าย (ร้อยละ 31)
ในขณะที่ McKinsey เปิดเผยผลสำรวจเปรียบเทียบข้อมูลเจนแซด เจนวาย และเจนเอ็กซ์ จำนวน 16,000 คนในเอเชียแปซิฟิก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย พบว่า กลุ่มคนเจนแซดในเอเชียแปซิฟิกใส่ใจเรื่องการบริโภคอย่างยั่งยืนเท่ากับชาวมิลเลนเนียล พวกเขาต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารออร์แกนิก และแฟชันเครื่องนุ่งห่มที่สร้างผลกระทบต่อโลกน้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสัมพันธ์ระหว่างความปรารถนาในการบริโภคอย่างยั่งยืนและความต้องการทันสมัย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเลือกซื้อและใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การมีแนวคิดด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสถานะทางสังคมในจิตใจของคนเจนแซด
ความเชื่อมั่นทางจริยธรรมยังทำให้กลุ่มคนเจนแซดไม่ผูกติดกับแบรนด์อย่างตายตัว พวกเขาเปิดใจกับแบรนด์ใหม่ ๆ และแบรนด์เล็ก ๆ มั่นใจในสิ่งที่ตนเองเลือก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความคิดเห็นของคนอื่น และมีแนวโน้มในการเลือกซื้อแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างเจนวาย และเจนเอ็กซ์
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คนเจนแซดจะเข้ามามีบทบาทในตลาดผู้บริโภคถึงร้อยละ 40 ภาคธุรกิจย่อมต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับคนกลุ่มนี้ที่มีความต้องการและสนใจด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนเจเนอเรชั่นก่อน ด้วยเหตุนี้
หลายบริษัทจึงตอบสนองต่อการหยุดเรียนเพื่อสภาพภูมิอากาศ เช่น สำนักงานและร้านค้าของ Patagonia ทั่วยุโรป ปิดทำการในวันที่ 20 และ 27 กันยายน 2562 เพื่อให้พนักงานมีโอกาสเข้าร่วมประท้วงในท้องถิ่นของตนเองได้ เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีแคมเปญ Facing Extinction และใช้พื้นที่โษณาช่วยส่งเสียงของเยาวชนให้ดังยิ่งขึ้น “วิกฤติสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาของมนุษย์ ซึ่งกระทบต่อเราทุกคน” ผู้จัดการทั่วไปในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียของ Patagonia กล่าว
Lush ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ปิดสำนักงาน ร้านค้า รวมถึงโรงงานผลิต ในวันที่ 20 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันแรกที่เหล่าเยาวชนทั่วโลกประท้วง เพื่อแสดงออกว่าอยู่ข้างเดียวกับเยาวชนเหล่านี้ และเน้นย้ำผ่านข้อความที่ว่า ภาคธุรกิจต้องใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ตอนนี้ เพื่ออนาคตของเยาวชน ก่อนที่จะสายเกินไป
Seventh Generation ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพส่วนบุคคล ที่ Unilever เข้าซื้อกิจการเมื่อปี 2559 ก็เข้าร่วมประท้วงกับเยาวชนเช่นกัน โดยการปิดออฟฟิศที่ Burlington และเข้าร่วมกิจกรรมหยุดเรียน(งาน)เพื่อสภาพภูมิอากาศ ในวันที่ 20 กันยายน 2562 เพื่อแสดงออกถึงความตระหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังมอบช่วงเวลาโฆษณาระหว่างวันที่ 16-20 ให้แก่การประท้วงดังกล่าวอีกด้วย โดยในสัปดาห์ของการประท้วง Seventh Generation ได้หยุดการประชาสัมพันธ์สินค้าบนช่องทางออนไลน์ และนำเสนอเนื้อหาที่มุ่งไปที่วิกฤติสภาพภูมิอากาศ (climate crisis)
นอกจากการตอบสนองต่อการหยุดเรียนเพื่อสภาพภูมิอากาศของเหล่าเยาวชนแล้ว ยังมีธุรกิจที่สร้างปฏิสัมพันธ์กับคนเจนแซดในแง่การขยายความตระหนักรู้ของแบรนด์ โดยใช้มิติด้านสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเชื่อมประสานผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Boxed Water ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปลูกต้นไม้ 2 ต้น ต่อการแชร์รูปภาพ Boxed Water ที่ติดแฮชแท็ก #betterplanet ซึ่งปัจจุบันปลูกไปแล้วกว่า 1,000,000 ต้น
ไม่เพียงเพื่อให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่การปรับตัวของภาคธุรกิจยังถือเป็นการจัดการความเสี่ยงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย เช่น สภาพอากาศที่แปรปรวนอาจทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน อันก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการผลิตของโรงงาน และส่งผลให้ต้นทุนด้านประกันภัยของบริษัทเพิ่มขึ้น
ถึงแม้กระแสความนิยมในการบริโภคอย่างยั่งยืนของผู้บริโภค หน่วยงานกำกับดูแล และภาคอุตสาหกรรม จะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ภาคธุรกิจก็ควรตระหนักว่า ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้สิ่งของที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่กลับเป็นหน้าที่ของภาคธุรกิจที่พึงปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบ และเพื่อให้มีทรัพยากรที่เพียงพอในการใช้อุปโภคบริโภคต่อไปในอนาคต
แต่ไม่ว่าธุรกิจจะปรับตัวด้วยเหตุผลใด การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมล้วนเป็นประโยชน์ต่อโลก คน และธุรกิจไปพร้อม ๆ กัน
แหล่งข้อมูล:
https://www.marketingdive.com/news/seventh-generation-to-go-on-climate-strike/562113/
https://kwhs.wharton.upenn.edu/2019/09/business-responds-face-of-activism/
https://www.marketingdive.com/news/seventh-generation-to-go-on-climate-strike/562113/
https://boxedwaterisbetter.com/pages/betterplanet
https://www.ecocycle.org/bestrawfree/about
https://infocenter.git.or.th/Content_View.aspx?id=2733&lang=EN&mail=1
https://thriveglobal.com/stories/why-gen-z-cares-the-most-about-nature/