“ผู้นำในภาคธุรกิจควรตระหนักว่า ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีผลต่อธุรกิจมากที่สุดก็คือ เรื่องของคนและโลกของเรา”

ข้อความข้างต้นเป็นหนึ่งในเสียงสะท้อนจากงาน Asia Inclusive & Responsible Business Forum (Asia IRB) ครั้งที่ 2 ซึ่ง Oxfam In Asia และบริษัท ป่าสาละ จำกัด ได้ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้นำจากธุรกิจ ผู้มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย และตัวแทนจากองค์กรภาคประชาสังคมกว่า 160 คน จาก 20 ประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม หนึ่งในไฮไลต์ของงานครั้งนี้อยู่ที่ช่วง Opening talk series: Future of IRB ที่ได้วิทยากรมากประสบการณ์ 5 คน มานำเสนอข้อมูล ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านมุมมองของคนทำงานในบทบาทต่างๆ กัน

ทอล์กเปิดงานครั้งนี้ยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญและการตอบคำถามที่ว่า เพราะอะไรแนวคิดนี้จึงไม่ควรเป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่

รศ.ดร.พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทอง

รศ.ดร.พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทอง คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กล่าวเปิดในหัวข้อ “Capturing IRB in Asia” ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกขณะนี้ทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งเชิงเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเหล่านี้กลายมาเป็นโจทย์ของธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในการหาวิธีและความร่วมมือเพื่อปกป้องกลุ่มเปราะบางควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ

โดย รศ.ดร.พิชามญชุ์ได้นิยาม ‘ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ว่าเป็น ‘ธุรกิจที่คำนึงถึงความแตกต่างบนรากฐานของสิทธิมนุษยชน’ ซึ่งในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมได้รับหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights – UNGPs) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานที่นำเอาหลักการสิทธิมนุษยชนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิธีทำงาน ตลอดจนเกิดการบังคับใช้กระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD)

อย่างไรก็ตาม คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกยังต้องเผชิญกับปัญหาอีกมาก เช่น การถูกตัดงบประมาณ การถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม และการถูกฟ้องร้องเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่ง รศ.ดร.พิชามญชุ์ มองว่า “ความพยายามที่จะปิดปากผู้ที่ต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายที่ทั่วโลก และปัญหานี้จะทวีความรุนแรงขึ้นหากภาคธุรกิจและภาครัฐไม่ร่วมมือกันทำงานเพื่อปกป้องและเคารพสิทธิมนุษยชน”

ในสหภาพยุโรปมีมาตรการที่ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งในเชิงนโยบายภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยในฝรั่งเศส คุณค่าของความเป็นปัจเจกชนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง หรือในเยอรมนีที่ภาคธุรกิจต่างก็กำหนดนโยบายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน รวมถึงในอีกหลายประเทศที่ยึดมั่นในหลักการ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ เป็นแนวทางสำคัญ

“สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องการก้าวทันโลกในเรื่องนี้ เราจะต้องมีมาตรการที่ทำให้มั่นใจว่า ธุรกิจในภูมิภาคนี้มีความพร้อมในการรับมือกับการพัฒนาต่างๆ ในเรื่องนี้ที่มาจากทางฝั่งยุโรปและประเทศอื่น” รศ.ดร.พิชามญชุ์ กล่าว

หนึ่งในสัญญาณที่ดีและเป็นแนวโน้มเชิงบวกก็คือความร่วมมือจากรัฐบาลหลายประเทศในการสร้างหลักปฏิบัติที่เป็นแนวทางในการทำงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ชนพื้นเมือง และแรงงานข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม นโยบายระหว่างประเทศก็ยังคงเป็นความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนอยู่ไม่น้อย ทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชน หรือประเด็นความเท่าเทียมในที่ทำงานในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรมีบทบาทในการปกป้องและส่งสัญญาณต่อสังคมว่า เราต้องปกป้องสิทธิของทุกคนตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติฯ ด้วยการลงมือปฏิบัติตามหลักการอย่างจริงจัง และให้คำมั่นสัญญาในเชิงนโยบายอย่างชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงในการละเมิดสิทธิให้เหลือน้อยที่สุด

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐของแต่ละประเทศมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลภาคธุรกิจให้ดำเนินงานโดยเคารพสิทธิมนุษยชน ทั้งผ่านการตราและบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองสิทธิแรงงานและประชาชนในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องปกป้องสิทธิของทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิในที่ทำงาน แม้ว่ากระบวนการเหล่านี้จะซับซ้อน แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาคธุรกิจต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม

“เรารู้ว่า การดำเนินการดังกล่าวนั้นค่อนข้างยาก แต่ก็ต้องอาศัยความทุ่มเทจากทุกภาคส่วนเพื่อทำให้หลักการชี้แนะของสหประชาชาติฯ สามารถดำเนินต่อไปได้ ทั้งยังต้องสร้างความมั่นใจว่า หลักการดังกล่าวจะสามารถเป็นจริงได้ สำหรับภาคธุรกิจที่จะนำหลักการดังกล่าวมาใช้เพื่อปกป้องทุกคน” ดร.พิชามญชุ์สรุป

Renita Bhaskar

ในประเด็นเรื่อง “Shaping Future Policy Frameworks” Renita Bhaskar อัครราชทูตที่ปรึกษา และหัวหน้าฝ่ายการค้าและเศรษฐกิจ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้กล่าวถึงกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) ไว้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงการเมืองที่ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า สิทธิมนุษยชนจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในทุกๆ ด้าน เป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นสัญญาณให้รัฐบาลต่างๆ ปรับตัว โดยหลายชาติได้นำเอามาตรฐานของสหภาพยุโรปไปใช้ด้วย

สำหรับในสหภาพยุโรปเองมีการสร้างมาตรฐานที่เหมาะสมทั้งในเชิงตลาดและอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้ชาติใดชาติหนึ่งมีอิทธิพลมากจนเกินไป สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจจำนวนไม่น้อยในสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและประเด็นที่เกี่ยวข้องมากขึ้น 

“ปัจจุบันผู้บริโภคตระหนักรู้มากขึ้นและต้องการตัวเลือกในการบริโภคแบบรักษ์โลกมากขึ้น เราจึงต้องพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งเสริมธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” Bhaskar กล่าว

ดังนั้น กระบวนการ HRDD จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจนั้นๆ โดยหนึ่งในกลไกที่สหภาพยุโรปใช้เพื่อส่งเสริมธุรกิจเหล่านี้ คือการออกมาตรการที่เป็นตัวควบคุมสำคัญให้ธุรกิจดำเนินงานตามหลักการและ ‘มีความรับผิดชอบต่อสังคม’ มากยิ่งขึ้น

Bhaskar ระบุว่า จากการประกาศมาตรการใหม่ของสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2024 สหภาพยุโรปได้กำหนดให้ปี 2027 เป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับภาคธุรกิจที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยจะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทกลุ่มแรกที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดในวันที่ 26 กรกฎาคม 2027 ก่อนที่จะบังคับใช้กฎหมายเต็มรูปแบบในปี 2029 ซึ่งเป็นสิ่งที่สหภาพยุโรปคาดหวังให้เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเธอยืนยันว่า นี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นถัดไป แม้ว่ามีความท้าทายตามมาอีกมาก

“เราจะมุ่งมั่นเดินหน้าผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การปรับใช้นี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกภาพจากทุกภาคส่วนของสังคม” Bhaskar กล่าว

Chau Lon Molika

Chau Lon Molika จากกัมพูชาเป็นอีกคนที่ได้แบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจบนเวทีนี้ เธอเป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Cambodian Standard Development and Supply หรือ CSDS ธุรกิจที่เป็นคนกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ ทั้งยังถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเรื่องความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดย CSDS ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การสนับสนุนพลังหญิง และการพัฒนาเกษตรกรรายย่อย งานของ Molika เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า SME สามารถมีส่วนในการส่งเสริมเรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร

ในกัมพูชา เกษตรกรจำนวนมากประสบปัญหาในการขนส่งผลผลิตไปยังหมู่บ้านอื่น งานของเธอส่วนหนึ่งจึงมุ่งเน้นไปที่การทำเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรรายย่อยกว่า 5,000 ราย เพื่อช่วยเหลือด้านการขนส่งผลผลิต และส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด บทบาทของ SME ในสถานการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเป็นตัวกลางในการทำธุรกิจ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมชุมชน สร้างผลกระทบเชิงบวก และดำเนินธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จากรายงานของ Asian Development Bank ในเดือนพฤศจิกายน 2024 แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในเอเชียมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควรคำนึงถึงบทบาทของ SME ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยปัจจัยที่ทำให้ SME สามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้นั้นเป็นเพราะ SME ทำงานกับชุมชนได้โดยตรง อีกทั้งโครงสร้างองค์กรยังทำให้ SME สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมสำหรับการเปิดรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ และที่สำคัญ SME ส่วนใหญ่ยังขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีจุดแข็งหลายข้อ แต่ SME เองก็ยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน อย่างเช่นเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน นโยบายจากภาครัฐที่ยังเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่า และการเข้าถึงตลาด แต่ Molika เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้และกำลังจะเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเธอเสนอว่า ผู้ประกอบการ SME เองจะต้องเข้าใจธุรกิจของตัวเองและเตรียมตัวให้พร้อม ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เองก็ควรจะเน้นเรื่องความร่วมมือกับ SME ให้มากขึ้น มองภาพรวมให้เหมือนการทำงานเป็นทีมมากกว่าการเป็นคู่แข่งทางการตลาด ในขณะที่ภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดนโยบายก็ควรจะกำหนดกรอบการทำงานที่เอื้อประโยชน์ต่อ SME มากขึ้น 

ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร

ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand – UNGCNT) เป็นตัวแทนในการพูดถึงความสำคัญของภาคธุรกิจที่ต้องมีการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเครือข่าย UNGCNT มีธุรกิจต่างๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิก 138 ราย ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ธุรกิจทั้งหมดมีจุดร่วมในการนำแนวคิดที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและการมีความรับผิดชอบมาใช้ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานในไทย โดยมุ่งไปที่สองเรื่องหลัก ได้แก่ การดูแลสิ่งแวดล้อมและการปกป้องสิทธิมนุษยชน

ดร.เนติธรเริ่มต้นด้วยประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งธุรกิจในเครือข่ายได้ให้คำมั่นสัญญาไว้เมื่อปี 2021 ว่า ภายในปี 2070 จะต้องบรรลุเป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ โดยทาง UNGCNT จะร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงตลาดหลักทรัพย์และผู้นำในองค์กรธุรกิจต่างๆ เพื่อร่วมกันสร้างกฎเกณฑ์และมาตรฐานที่ทำให้มั่นใจได้ว่า ตลาดคาร์บอนที่เกิดขึ้นสามารถวัดได้ ตรวจสอบได้ และเชื่อถือได้

ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น ทาง UNGCNT ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นนี้ และเชื่อว่าการเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนเป็นความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ซึ่งภาครัฐเองก็มีสัญญาณที่ดีขึ้นในเรื่องนี้ และภาคธุรกิจก็พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570)

ดร.เนติธรยังได้พูดถึงความสำคัญของ SME ในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ว่า “SME ร่วมสามล้านรายในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP ในประเทศไทย และทำให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน ดังนั้น บทบาทของ SME ที่จะจัดการกับห่วงโซ่อุปทานจึงสำคัญอย่างยิ่งทั้งในระดับประเทศและระดับโลก”

ดร.เนติธรได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ซึ่งไม่เพียงแต่ภาคธุรกิจเท่านั้นที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ แต่ยังรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของตนเองในการสร้างความยั่งยืนและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน แม้แต่การจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมประเด็นสิทธิมนุษยชน ก็ถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในอนาคต โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว

คำแนะนำข้อต่อมาก็คือการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์และผู้ซื้อที่ช่วยเหลือและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะในการทำธุรกิจ หากต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด ความช่วยเหลือและการสนับสนุนก็เป็นสิ่งจำเป็นในการทำงาน ด้านฝั่งผู้ซื้อและผู้บริโภคเองก็ควรที่จะเข้าใจด้วยว่า ในการผลิตสินค้าและบริการอย่างยั่งยืนนั้นมีต้นทุนในการผลิต การทำงานและการสร้างความเข้าใจจะเป็นกุญแจที่ช่วยรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้.

อีกหนึ่งคำแนะนำที่ ดร.เนติธรฝากไว้ นั่นคือ การสร้างเหตุผลทางธุรกิจ หรือ business case เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงตรรกะในการจัดการต่างๆ อย่างยั่งยืน โดยในฝั่งของภาคธุรกิจ สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้บริหาร ซัพพลายเออร์ รวมถึงผู้ให้บริการทั้งภายในและภายนอกองค์กรมองเห็นถึงประโยชน์ที่วัดผลได้ ในขณะที่ภาครัฐเองก็สามารถสนับสนุนได้อย่างตรงจุด โดยทำได้ผ่านการกำหนดแรงจูงใจและการกำหนดกฎระเบียบที่เป็นธรรม ส่วนภาคประชาสังคมสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยการสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเช่นเดียวกับรรยากาศที่เกิดขึ้นในงานนี้ เพราะการสร้างพื้นที่จะส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมที่มุ่งเน้นผลลัพธ์และนำไปสู่ทางออกของหลายประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างเช่น ค่าจ้างเพื่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและส่งผลกระทบโดยตรง

Archana Kotecha

ปิดท้ายด้วย Archana Kotecha ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง The Remedy Project และ ReAct Asia ธุรกิจเพื่อสังคมที่เริ่มต้นขึ้นในฮ่องกง โดยเน้นในการพัฒนาทางออกที่เป็นไปได้จริงไม่ใช่แค่การกำหนดข้อตกลงหรือมาตรฐานการทำงานในระดับประเทศ ตลอดจนระดับโลก แต่มองข้ามสถานการณ์จริงในระดับท้องถิ่น การมองสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นตามความเป็นจริงและพัฒนาทางออกบนความเข้าใจนั้นจะสามารถเป็นสะพานในการลบช่องว่างระหว่างการทำธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของคนทำงานลงได้ 

จากประสบการณ์การทำงานเกือบสองทศวรรษในแวดวงธุรกิจ Kotecha พบว่า ธุรกิจจำนวนมากยังคงเข้าใจว่ากระบวนการตรวจสอบทางสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านเป็นเรื่องการประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน แต่มิได้ตระหนักว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องใส่ใจอย่างจริงจัง ความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนนี้นำไปสู่คำถามว่า เราจะทำอย่างไรให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

“สถานการณ์ที่เป็นอยู่ช่วยเตือนให้เราตระหนักว่า ในขณะที่เราให้คำมั่นสัญญาและให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบกันอยู่ เราต้องไม่ลืมว่ายังมีกรอบการทำงานทางกฎหมายที่ยังไม่ได้บังคับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอยู่ด้วย” Kotecha กล่าว

เธอยังเตือนให้นึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ถึงแม้จะมีแนวทางในการทำงานแล้ว แต่บางครั้งในการทำงานจริง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ซึ่งหน้าที่ของเราทุกคนไม่ใช่การตัดสินว่าทำไมเขาถึงยังทำแบบนั้น แต่ควรเป็นการหาแนวทางที่จะทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถนำนโยบายไปใช้ได้และสร้างผลกระทบได้ตามที่ควรจะเป็น

Kotecha นำเสนอแนวทางแก้ไขโดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดกลาง รวมถึงกลุ่มผู้เปราะบางที่มักถูกมองข้าม การเข้าถึง การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และการให้ความสำคัญกับบริบทที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้เรามองเห็นสถานการณ์จริงและความซับซ้อนของแต่ละธุรกิจ เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่เหมาะสม โดยเธอเน้นว่า “กลุ่มแรกที่เราต้องเข้าถึงและเข้าใจพวกเขาก็คือ SME ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มเปราะบาง อย่างเช่น ผู้หญิง เด็ก แรงงานข้ามชาติ และแรงงานที่อยู่ในการจ้างงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ในบรรดาคนกลุ่มนี้ ยังมีคนอีกมากที่เรายังไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา ที่เรายังไม่ได้เห็นพวกเขา และนั่นทำให้พวกเขายังไม่ได้รับความช่วยเหลือ”

จากประสบการณ์ของ Kotecha เธอพบว่า เมื่อกลไกหรือกระบวนการการร้องทุกข์ไม่ครอบคลุมคนเหล่านี้ โดยเฉพาะคนในระดับปฏิบัติการ ทำให้คนที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปมองไม่เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

ความเสมอภาคในห่วงโซ่คุณค่าเป็นอีกเรื่องที่ Kotecha มองว่าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในภาวะที่ยังคงมีแรงงานถูกบังคับให้ทำงานโดยมิได้สมัครใจ ซึ่งรากหนึ่งของปัญหานี้มาจากโมเดลทางธุรกิจที่สามารถแก้ได้ด้วยการคำนึงถึงเรื่องความรับผิดชอบในทุกขั้นตอน

อีกหนึ่งข้อเสนอแนะที่ Kotecha ได้ฝากไว้เป็นเรื่องการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ตลอดจนถึงความจำเป็นที่ต้องมองเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน

“ผู้นำในภาคธุรกิจควรตระหนักว่า ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีผลต่อธุรกิจมากที่สุดก็คือ เรื่องของคนและโลกของเรา” Kotecha เชื่อว่า การให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาที่คำนึงถึงทั้งเรื่องมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป เพราะทั้งสองประเด็นไม่ใช่เรื่องที่ควรมองแยกจากกัน