ปัญหาสิทธิมนุษยชน ความไม่เท่าเทียมทางเพศ งานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างในห่วงโซ่อุปทาน (unpaid care work in supply chain) ค่าแรงขั้นต่ำ (minimum wage) และค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ (living wage) และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นำมาสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานทั่วโลก โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาแรงงานหญิงจำนวนมาก

ในงาน Asia Inclusive & Responsible Business Forum ที่จัดขึ้นโดย Oxfam in Asia และบริษัท ป่าสาละ จำกัด เมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จึงมีการสร้างพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ อัปเดตสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ทำงานด้านนี้โดยตรง ทั้งยังเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยซึ่งอาจนำไปสู่ความร่วมมือในอนาคต

 

การปูทางสู่การให้คำมั่นสัญญาที่จะปฏิบัติตามกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านในเอเชีย

Asia Inclusive & Responsible Business Forum

ห้องแรกเป็นการพูดคุยกันในหัวข้อ ‘Walk the Talk: Paving the Way for HRDD Commitment and Action in Asia’ โดยเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานจากมุมมองของวิทยาการจากประเทศต่างๆ ทั้งไทย กัมพูชา และเนเธอร์แลนด์

เริ่มจาก นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ที่เล่าถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่จัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และปัจจุบันอยู่ในช่วงของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights – NAP) ระยะที่ 2 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2566-2570

การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนี้ถือเป็นเรื่องใหม่และเต็มไปด้วยความท้าทาย ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตั้งแต่องค์กรรัฐด้วยกัน ภาคประชาสังคม ธุรกิจเอกชนทุกขนาด รัฐวิสาหกิจ องค์กรระหว่างประเทศ นักวิชาการ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อกำหนดกรอบการทำงานที่จะระบุถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ

นอกจากงานนี้แล้ว ยังมีอีกหลายงานที่กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้ความสำคัญและเป็นงานที่ยังคงทำอยู่ อย่างเช่น การจัดการฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชนที่เป็นไปตามแนวทางขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) ผ่านระบบ e-learning เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และอีกงานที่มีการกล่าวถึงก็คือ การทำงานร่วมกับสหภาพยุโรปในการทำงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบที่จะนำไปสู่การออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยมีเป้าหมายว่าร่างแรกของกฎหมายนี้จะสำเร็จในปี 2569

ด้าน David Kim ตัวแทนจากบริษัท HESED Agriculture Trading ธุรกิจเกษตรกรรมในกัมพูชา ได้แบ่งปันวิธีที่จะทำให้แนวคิดต่างๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เริ่มตั้งแต่การนำกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลทางธุรกิจ เพื่อให้บริษัททั้งหลายตระหนักว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่เรื่องที่ควรทำตามจริยธรรม แต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยกตัวอย่างสิ่งที่ทำมาตลอดนับแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2559 อย่างการทำสัญญาที่เป็นธรรมระหว่างบริษัทและเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

อีกข้อคือการสนับสนุนการค้าที่เป็นธรรม (fair trade) เพราะการสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจังจะช่วยก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ และทำให้เรื่องการค้าที่เป็นธรรมเป็นมากกว่าแค่การสังเกตว่ามีตราสัญลักษณ์ Fairtrade รองรับบนฉลากผลิตภัณฑ์ สุดท้ายคือการร่วมมือกันเพื่อสร้างารเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีภาคส่วนใดที่จะสามารถบรรลุเรื่องนี้ได้โดยลำพัง ดังนั้น การทำตามเป้าหมายนี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชนที่เกี่ยวข้อง ความร่วมมือนี้จะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นยังเน้นย้ำถึงความหลากหลายของผู้คน ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยในการดำรงชีวิต ประสบการณ์ และผลกระทบที่แต่ละคนได้รับแตกต่างกัน ดังนั้น หากต้องใช้กระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านเพื่อหาทางออกที่เป็นไปได้สำหรับปัญหาต่างๆ จะต้องคำนึงถึงความหลากหลาย เพื่อให้เป็นการวางแผนที่ได้ยินเสียงของทุกคนอย่างแท้จริง

อีกประเด็นที่น่าสนใจและมีการพูดถึงในกลุ่มนี้ คือ การมองกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านเป็นเรื่องของการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งสำหรับคนทำงานที่จะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติจำเป็นที่จะต้องอธิบายกับเพื่อนร่วมงานและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นของเรื่องนี้ได้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการทำงานที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เพราะความเข้าใจเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การวางนโยบายไปจนถึงการทำให้นโยบายนั้นเกิดขึ้นจริง

 

ความไม่เท่าเทียมทางเพศและงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง

Asia Inclusive & Responsible Business Forum

ในการเสวนา ‘Addressing Gender Inequality and Unpaid Care Work in Supply Chain’ วิทยากรและผู้เข้าร่วมงานเสวนาร่วมกันมองสถานการณ์ที่เป็นอยู่และมุ่งหาทางออกจากปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศและงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนใหญ่

ปัญหานี้มีตั้งแต่สาเหตุระดับประเทศที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของภาครัฐ อย่างความผันผวนทางการเมืองและความกังวลต่อการแทรกแซงนโยบายรัฐจากองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบ ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องรับมือกับการขาดความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน การแบกรับต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น และอคติทางเพศในการคัดเลือกแรงงาน เมื่อรวมกับการขาดความเข้าใจกลไกทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจ SME ก็ยิ่งส่งผลให้การนำนโยบายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปใช้ปฏิบัติไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร ด้านภาคประชาสังคมเองก็มีความท้าทายในการสร้างความเข้าใจต่อสังคม เพราะพบว่าในระดับครัวเรือนก็ยังขาดการตระหนักรู้เรื่องนี้ไม่น้อย แม้แต่คนในครอบครัวเองก็ยังมีทัศนคติที่ส่งผลกระทบต่อความไม่เท่าเทียมทางเพศ

Bidowra Tahmin Khan หัวหน้าแผนกการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและความยุติธรรม จาก Oxfam in Bangladesh อ้างอิงสถิติที่ทำให้ภาพของปัญหานี้ชัดเจนขึ้น โดยระบุว่า 28% ของผู้หญิงในบังกลาเทศมีบทบาทเป็นผู้นำในครอบครัว มีหน้าที่เลี้ยงลูก ดูแลผู้สูงวัย ตลอดจนรับผิดชอบงานบ้าน ซึ่งงานเหล่านี้ล้วนจัดเป็น ‘งานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง’ ทั้งสิ้น ทั้งยังยากที่จะแบ่งหน้าที่ไปให้คนอื่นๆ โดยหากต้องการให้มีการดูแลและส่งเสริมสวัสดิการของการทำงานในส่วนนี้จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้สถานการณ์เรื่องนี้เป็นไปทางที่ดีขึ้น วงเสวนามีความเห็นว่า ภาครัฐควรมีการจัดการนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้และทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง อาทิ การกำหนดชั่วโมงการทำงานแบบยืดหยุ่น หรือการใช้ Private Sector Rapid Care Analysis (PS RCA) ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่พัฒนาโดย Oxfam มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ทั้งคนที่มีอำนาจตัดสินใจและคนทำงานตระหนักถึงภาระและหน้าที่ในการทำงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง การใช้ชุดเครื่องมือนี้จะนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติและนโยบายที่มาจากความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งในท้ายที่สุดจะมีส่วนช่วยสร้างบรรทัดฐานทางสังคมใหม่ๆ ในเรื่องนี้ได้

ส่วนแรงงานเองนั้น การเพิ่มทักษะและการจัดตั้งสหภาพแรงงานเป็นกลไกที่จะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพการทำงานและรักษาผลประโยชน์ที่ควรได้รับ และสำหรับภาคประชาสังคมเองก็สามารถมีส่วนร่วมได้ผ่านการสื่อสารและตรวจสอบกระบวนการต่างๆ กับองค์กรที่ร่วมมือด้วย

‘ความยั่งยืน’ เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในฐานะทางออกที่ทำให้แต่ละฝ่ายในห่วงโซ่อุปทานคลายความกังวลลงได้ โดยเริ่มจากการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้และอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ความเปลี่ยนแปลงอาจเป็นในรูปแบบของนโยบายหรือสวัสดิการต่างๆ หรือการปรับทัศนคติและมุมมองที่มีต่อเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในฐานะสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล

ในวงเสวนามีการเชิญทั้งภาคเอกชนและผู้ประกอบการ SME มาพูดถึงตัวอย่างของการปฏิบัติตามนโยบายที่คำนึงถึงความเท่าเทียมทางเพศและสร้างความยืดหยุ่นให้กับพนักงานในการแบ่งเวลาการทำงานของบริษัทและการรับผิดชอบงานที่บ้าน ตัวอย่างหนึ่งก็คือ Cambodian Knits วิสาหกิจชุมชนจากกัมพูชาที่ชูจุดเด่นว่า งานฝีมือทุกชิ้นมาจากการผลิตแบบทำจากที่บ้าน ที่มีการทำสัญญาเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุเงื่อนไขในการทำงาน ซึ่งครอบคลุมแม้แต่เรื่องการรับงานเพิ่มในกรณีที่แรงงานมีภาระเพิ่มขึ้นและต้องการรายได้เสริม

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ PT. Alter Trade Indonesia บริษัทส่งออกอาหารทะเลจากอินโดนีเซียที่ให้ความสำคัญกับแรงงานหญิงโดยอยู่บนพื้นฐานของการตั้งคำถามว่า องค์กรสามารถทำอะไรเพื่อพัฒนาและสนับสนุนคนเหล่านี้ได้บ้าง ซึ่งทำให้พบว่า แรงงานหญิงส่วนใหญ่มาจากครอบครัวเกษตรกรที่มีผู้ชายเป็นผู้นำ การจัดการรายได้มักจะอยู่ในรูปแบบของ ‘ผัวหา-เมียเก็บ’ บริษัทจึงได้เพิ่มทักษะการจัดการรายรับ-รายจ่ายของครอบครัวให้กับแรงงาน เพื่อให้รู้จักวิธีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ แรงงานจึงไม่เปลี่ยนงานบ่อยเพราะพึงพอใจในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีส่วนพัฒนาคุณภาพชีวิตได้

การสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งต่อความเท่าเทียมทางเพศและงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องจะเป็นรากฐานในการแก้ปัญหา ดังนั้น ควรเริ่มต้นจากทัศนคติว่า งานบ้านหรืองานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างไม่ควรถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิง หรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม

 

การจัดสรรค่าแรงขั้นต่ำและค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ

Asia Inclusive & Responsible Business Forum

ปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำมีแนวโน้มไม่เพิ่มขึ้นตาม เป็นที่มาของการเสวนาในหัวข้อ ‘Enabling Living Incomes and Living Wages in Global Supply Chains’ ซึ่งเป็นหัวข้อของห้องที่ 3 โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหา พร้อมทั้งอธิบายถึงความหมายของคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นค่าแรงขั้นต่ำและค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ

Nayeem Emran หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ความยุติธรรเชิงเศรษฐกิจ จาก Oxfam in Australia ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ และ ‘ค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ แม้ว่าทั้งสองอย่างจะมีเป้าหมายเพื่อให้แรงงานสามารถดำรงชีวิตได้ แต่มีรายละเอียดที่ต่างกัน โดย ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ เป็นอัตราค่าจ้างที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างอย่างน้อยที่สุด ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ และสภาพเศรษฐกิจของประเทศ การปรับค่าแรงขั้นต่ำมักมุ่งเน้นเพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน แต่ไม่จำเป็นต้องเพียงพอต่อการครองชีพในทุกกรณี ในขณะที่ ‘ค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ’ เป็นอัตราค่าจ้างที่คำนวณเพื่อให้แรงงานมีรายได้ที่เพียงพอต่อการครองชีพอย่างมีคุณภาพ

แม้ว่าในปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ แต่ในหลายกรณีอัตราค่าจ้างดังกล่าวยังไม่เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับแรงงาน ทั้งที่ตามทฤษฎีแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้ตามกฎหมายควรจะเพียงพอต่อการดำรงชีพ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Oxfam ได้มีบทบาทในการสนับสนุนธุรกิจต่างๆ โดยแนะนำและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น การเปรียบเทียบค่าแรงขั้นต่ำกับค่าแรงที่เหมาะสมกับคุณภาพชีวิต การวิเคราะห์ช่องว่างรายได้ และการสนับสนุนให้ธุรกิจสร้างเกณฑ์วัดผลค่าจ้างที่เป็นธรรม เป็นต้น

อีกหนึ่งประเด็นในวงเสวนานี้คือ ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาค่าแรงต่ำในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ปัจจัยที่มาจากห่วงโซ่คุณค่าในระดับโลก ซึ่งครอบคลุมเรื่องอำนาจทางการเงินที่ไม่เท่าเทียม โมเดลทางธุรกิจที่เน้นการทำกำไรสูงสุด ไปจนถึงการขาดความตระหนักรู้ในประเด็นนี้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในระดับประเทศ เช่น ค่าแรงตามกฎหมายที่ต่ำกว่าค่าครองชีพ การขาดอำนาจของสหภาพแรงงาน และการไม่คำนึงถึงแรงงานนอกระบบในการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ข้อสุดท้ายคือปัจจัยในระดับอุตสาหกรรมที่ยังมีการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ความไม่โปร่งใสในการจ่ายค่าจ้าง การหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าทำงานล่วงเวลา ตลอดจนระบบการคิดค่าแรงที่ไม่ชัดเจน ดังที่เห็นจากกรณีนายจ้างบางกลุ่มคิดค่าแรงเป็นรายชิ้น แต่บางกลุ่มคิดค่าแรงเป็นรายวัน ทำให้ฐานการคำนวณรายได้ค่อนข้างต่างกัน

ทางออกหนึ่งของเรื่องนี้คือการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อเรื่องนี้ โดยอาจทำได้ผ่านการร่วมมือกับสหภาพแรงงาน เพื่อให้เกิดการต่อรองที่เป็นธรรม และการกำหนดนโยบายเฉพาะของบริษัทที่ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นทางการเงินและเป็นนโยบายที่สัมพันธ์กับขนาดธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลสามารถดำเนินการศึกษาการวางแผนค่าแรง และสร้างมาตรฐานค่าแรงระดับประเทศที่คำนึงถึงค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อได้ เช่น ในเวียดนาม ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับผลิตภาพ ในฐานะเป้าหมายหลักของการกำหนดค่าแรง และยังอาจส่งเสริมบทบาทของสหภาพแรงงานในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างและกรอบความคิดที่จะทำให้แรงงานได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด

 

ความร่วมมือในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

Asia Inclusive & Responsible Business Forum

ในห้องสุดท้ายเป็นเรื่อง ‘Partnerships in a Circular Economy’ เริ่มด้วยเกมสนุกๆ เพื่อทดสอบความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ circular economy ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเสวนาในห้องนี้ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น 33% ของอาหารที่ผลิตทั่วโลกจะกลายเป็นขยะในที่สุด หรือในการผลิตกางเกงยีนส์แต่ละตัวมีการใช้น้ำโดยเฉลี่ย 3,500 ลิตร และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 40 กิโลกรัม

หลังจากนั้น Windy Massabni ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ SME ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกและการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม จาก Oxfam Novib ซึ่งทำหน้าที่เป็นวิทยากรหลัก ได้ปูพื้นความเข้าใจให้กับทุกคนในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเมื่อพูดถึงการผลิตบนพื้นฐานของเศรษฐกิจหมุนเวียนแล้ว มีหัวใจหลักอยู่ 3 ข้อ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่สร้างทดแทนขึ้นใหม่ได้ การยืดอายุการใช้งาน และการใช้ของเสียเป็นทรัพยากรการผลิต

โดยในแต่ละข้อมีการอธิบายเพิ่มเติมให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ อย่างเรื่องการให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่สร้างทดแทนขึ้นใหม่ได้อย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันมีเงินทุนที่มุ่งสนับสนุนเกษตรกรหรือธุรกิจการเกษตรที่ใช้พลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะ รวมถึงมีธุรกิจที่มุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน อย่างเช่น Clean Energy Revolving Fund ในกัมพูชาที่ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการเข้าถึงพลังงานประเภทนี้

การยืดอายุการใช้งานเป็นอีกเรื่องที่ควรให้ความสนใจ เพราะในยุคที่ขยะเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะขยะดิจิทัลและขยะที่มาจากอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น ทำให้มีผู้ประกอบการบางรายพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ โดยคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานนานขึ้นเพื่อลดขยะ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ผ้าอนามัยแบบซักได้และถ้วยอนามัยที่ลดการใช้วัสดุที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ ทั้งยังเลือกใช้วัสดุที่ช่วยประหยัดน้ำในการซักด้วย

ส่วนในเรื่องการนำขยะมาใช้เป็นวัสดุในการผลิตสินค้าใหม่นั้น Linda Sigilai ผู้ก่อตั้ง Tuwe Bora ธุรกิจเพื่อสังคมจากเคนยา เล่าถึงประสบการณ์ตรงในการนำผ้าที่เหลือทิ้งจากการผลิตมาผ่านกระบวนการอัปไซเคิลที่ช่วยต่ออายุของผ้า และทำให้ได้สินค้าใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์ อย่างเครื่องประดับที่ทำจากผ้า ซึ่งแต่ละชิ้นมีลวดลายไม่ซ้ำกัน นอกจากจะผลิตสินค้าแล้ว Tuwe Bora ยังมีการฝึกอบรมให้กับกลุ่มผู้หญิงในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มทักษะและสร้างอาชีพอีกด้วย

ภายในวงเสวนายังมีการนำความท้าทายในการทำงานจริงมาเป็นหัวข้อย่อยในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอีกด้วย เริ่มจากความท้าทายในการจัดงานที่ยึดคอนเซปต์ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อให้เกิดขยะน้อยที่สุด ซึ่งความยากอยู่ที่การเลือกซัพพลายเออร์ที่ตรงกับเงื่อนไข ซึ่งครอบคลุมไปจนถึงการจัดการขยะที่เกิดจากงาน อีกไอเดียที่น่าสนใจก็คือ บางครั้งการสื่อสารเรื่องนี้อาจนำไปสู่การขอความร่วมมือจากผู้ร่วมงาน อย่างเช่นการนำแก้วมาเอง ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้เป้าหมายในการจัดงานตามหลักนี้เป็นไปได้

นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการทำให้ SME เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจในหลักการเรื่องนี้เช่นกันจึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจให้เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับเงินทุนและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

อีกหัวข้อย่อยที่มีการพูดถึงก็คือ การทำงานร่วมกันระหว่าง SME และเมืองต่างๆ มีการเสนอความคิดว่าอาจใช้รูปแบบของเกมมาเป็นแรงจูงใจให้คนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น รวมถึงอุดช่องว่างที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเช่น ระบบรีไซเคิลที่ยังไม่ครอบคลุม ระบบขนส่งสาธารณะที่ทำให้คนยังไม่สามารถใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนความคิดในหัวข้อย่อยระหว่างคนที่มีบทบาทต่างกันช่วยเน้นย้ำให้เห็นถึงสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจบนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน นั่นคือ ความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนและองค์กรต่างๆ ที่จะมีส่วนช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด