หลายคนอาจจะเติบโตมาในยุคที่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงของร้านรวง ตอนเด็ก ๆ บางคนอาจคุ้นตากับภาพร้านซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ มือถือ หรือนาฬิกา แต่เมื่อเวลาผ่านไปร้านเหล่านี้กลับค่อย ๆ ลดลง การบริโภคในสังคมยุคใหม่กลายเป็นรูปแบบใช้แล้วทิ้ง พังแล้วซื้อใหม่ ในขณะเดียวกัน ราคาของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เราใช้ชีวิตไปโดยไม่ได้รับรู้ว่าเราอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบไหน และเรามีทางเลือกอื่นอีกไหมนอกจากระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่

ภาคภูมิ โกเมศโสภา ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน จากบริษัท Metabolic ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แนะนำให้ผู้เขียนรู้จักกับระบบเศรษฐกิจหนึ่งที่เรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” ซึ่งเน้นการคงคุณค่าของทรัพยากรไว้ แตกต่างกับระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือ ระบบเศรษฐกิจแนวตรง (Linear Economy) ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นไปในรูปแบบเส้นตรง “ถลุง ผลิต ทิ้ง (Take, Make, Waste)” เริ่มด้วยการแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ขายให้ผู้บริโภค เมื่อใช้เสร็จก็ทิ้งไป

ภาพ 1 แผนภูมิแสดงการใช้ทรัพยากรเกินความสามารถในการฟื้นฟูของโลก

 

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจแนวตรงกำลังทำให้โลกเผชิญวิกฤติทางสิ่งแวดล้อม 3 ประการด้วยกัน ได้แก่

(1) การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งหากเรายังคงระบบเศรษฐกิจแบบเดิมอยู่ ในอนาคตทรัพยากรเหล่านี้จะไม่เพียงพอต่อการใช้งานและอาจจะหมดไป งานวิจัยจาก Global Footprint Network ได้ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างอัตราการใช้ทรัพยากรธรรมชาติกับความสามารถในการฟื้นฟูทรัพยากรของโลกพบว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเราใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินขีดความสามารถที่โลกจะฟื้นฟูได้ทัน และตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมามนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินความสามารถในการฟื้นฟูมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแร่ธาตุบางอย่าง เช่น แร่พลวง (Antimony) และอินเดียม (Indium) ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ ยา หน้าจอทัชสกรีน และโซลาร์เซลล์ ก็ลดน้อยลง นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า แร่เหล่านี้มีเหลือให้มนุษยชาติใช้อีกไม่ถึง 20 ปี

(2) การมีขยะเพิ่มขึ้น เราจึงต้องใช้ทรัพยากรในการกำจัดขยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ทั้งพื้นที่ในการฝังกลบและเชื้อเพลิงในการเผา รวมถึงยังมีขยะหลุดรอดจากระบบการกำจัด ซึ่งกลายเป็นภาระต่อระบบนิเวศธรรมชาติ

(3) ขีดจำกัดของธรรมชาติ จากการประเมินความเสี่ยงพบว่าการใช้ทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยังมานาน ทำให้มนุษยชาติกำลังเผชิญกับขีดจำกัดของธรรมชาติหลัก ๆ 2 อย่าง ที่จะทำให้โลกไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และสองคือการสูญเสียความหลากหลายทางชีววิทยาและสมดุลทางวัฏจักรชีวเคมี ทั้งไนโตรเจนและฟอสฟอรัส เนื่องจากการใช้ที่ดินและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งตัวแปรอย่างที่สองมีความเสี่ยงสูงมาก

วิกฤติทางสิ่งแวดล้อมทั้ง 3 ประการนี้ แสดงให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจแนวตรงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และรับมือกับขีดจำกัดของธรรมชาติอีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมหลายคนจึงมองว่าแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นกุญแจที่จำเป็นสำหรับการตอบโจทย์ความยั่งยืน

ภาพ 2 ภาพเปรียบเทียบระหว่างเศรษฐกิจแนวตรง (ขวา) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (ซ้าย)

 

สำหรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ภาคภูมิได้เลือกใช้คำอธิบายของ Michael Braungart หนึ่งในผู้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาอธิบาย เพราะเข้าใจง่ายและชัดเจนที่สุด Braungart อธิบายระบบเศรษฐกิจนี้ว่า “เป็นเหมือนต้นไม้”  ต้นไม้ใช้ทรัพยากรจากน้ำ แสงแดด แร่ธาตุในการเติบโต แล้วให้ผลผลิตออกมา และสามารถคืนทุกอย่างกลับสู่ธรรมชาติได้โดยไม่เกิดขยะ เพราะทุกองค์ประกอบมีคุณค่าต่อระบบทั้งสิ้น ดังนั้นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นระบบที่พยายามรักษามูลค่าทรัพยากรในแต่ละผลิตภัณฑ์ให้นานที่สุด ผ่านการใช้ซ้ำ ซ่อมแซม ประกอบใหม่ และรีไซเคิล แตกต่างกับระบบเศรษฐกิจแบบแนวตรงที่แปรรูปทรัพยากรเพื่อเพิ่มมูลค่า แต่สุดท้ายผลิตภัณฑ์ก็ถูกทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถนำกลับเข้าไปในระบบธรรมชาติได้อีก ถือเป็นการทำลายทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์

ภาพ 3 ภาพแสดงการหมุนเวียนของทรัพยากรในเศรษฐกิจหมุนเวียน

 

อย่างไรก็ดี แม้การทำงานของระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนจะคล้ายคลึงกับต้นไม้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์ของระบบนี้จะสามารถย่อยสลายกลับคืนสู่ระบบธรรมชาติได้ทุกอย่าง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมีทั้งสสารอินทรีย์และอนินทรีย์ แต่สิ่งที่สามารถย่อยสลายกลับคืนสู่ระบบธรรมชาติได้มีเพียงสสารอินทรีย์เท่านั้น ระบบนี้จึงเลือกคงคุณค่าผ่านการใช้ผลิตภัณฑ์อนินทรีย์ซ้ำ เพื่อยืดอายุการใช้งานและให้วนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของมนุษย์นานที่สุด

ด้วยเหตุนี้ การดำเนินธุรกิจในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากที่เราคุ้นชินใน 3 ด้าน ได้แก่ ที่มาของทรัพยากรการผลิต โมเดลธุรกิจ และวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ในด้านที่มาของทรัพยากร ปกติแล้วเรามักมองว่าทรัพยากรการผลิตมาจากธรรมชาติเท่านั้น แต่ในเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ของเหลือ หรือขยะก็เป็นแหล่งที่มาของทรัพยากรได้ ถึงแม้ว่าความสามารถในการนำกลับมาผลิตอาจจะแตกต่างกัน แต่จะเลือกใช้วิธีที่สามารถคงมูลค่าในระบบไว้ให้ได้นานที่สุด นอกจากนั้น โมเดลธุรกิจในระบบนี้จะเปลี่ยนไปเนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงผู้ซื้ออย่างเดียวเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นผู้ถือครองทรัพยากรที่สามารถนำไปผลิตของได้ใหม่ ฉะนั้นภาคธุรกิจจึงต้องออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าส่งคืนสินค้าเพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป และสุดท้าย การดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบนี้ต้องมีวิสัยทัศน์เรื่องความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เนื่องจากระบบนี้จะไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่ได้แก้ปัญหาทรัพยากร ขยะ และขีดจำกัดของธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจแนวตรงไม่มีประสิทธิภาพ

ภาพ 4 โทรศัพท์ Fairphone ที่สามารถถอดประกอบได้ง่าย

 

หลายธุรกิจในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้เริ่มใช้รูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนข้างต้นแล้ว อย่างเช่น บริษัท Black Bear บริษัทยางรถยนต์ที่แก้ปัญหาขยะยางรถยนต์ ด้วยการนำยางรถยนต์เก่ามาผลิตเขม่าดำ (Carbon Black) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสีดำหรือยางรถยนต์ต่อไป ส่วนบริษัท Bundle และ Miele เลือกใช้โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ คือเปลี่ยนจากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้ามาเป็นการขายบริการ ผ่านการให้เช่าเครื่องซักผ้า และมีการตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานเป็นประจำซึ่งจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าและยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้ โดยเมื่อผู้เช่าใช้งานเสร็จสิ้น บริษัทก็นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ และสุดท้าย บริษัท DGTL บริษัทจัดงานเทศกาลดนตรี ซึ่งได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักความยั่งยืนอย่างจริงจัง ผ่านการใช้ซ้ำบรรจุภัณฑ์ในงาน ถอดประกอบเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ และวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรในงานทั้งหมดจากต้นทางถึงปลายทาง เพื่อวัดว่าจะต้องพัฒนาด้านใดอีกบ้างเพื่อให้ตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ DGTL เทศกาลดนตรีสุดมันส์แสนรักษ์โลก)

ภาพ 5 ภาพรวมของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

 

อย่างไรก็ตาม การระบุปัญหาของระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน และการแนะนำเศรษฐกิจหมุนเวียนคงไม่เกิดผลอะไร หากไม่เกิดการนำมาปรับใช้ บางคนอาจสงสัยว่าประเทศไทยจะสามารถใช้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนได้หรือไม่ ภาคภูมิได้ตอบข้อสงสัยนี้อย่างติดตลกว่า “ไม่เกี่ยวว่าใช้ได้หรือไม่ได้ แต่ต้องนำมาใช้แล้ว” แต่การจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบนี้ก็ยังมีเรื่องท้าทาย เนื่องจากประเทศไทยยังมีข้อบกพร่องหลายอย่าง ทั้งการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก นวัตกรรม และการสนับสนุนจากภาครัฐ

การขาดการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างแรก ทำให้กลยุทธ์ความยั่งยืนของประเทศไทยขาดความชัดเจน และไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ขณะที่การมีข้อมูลเชิงลึกทางสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์การไหลของวัสดุ (Material Flow Analysis: MFA) หรือ การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) จะสร้างความชัดเจนด้านผลลัพธ์ทางสังคมและทางธุรกิจได้มากขึ้น และสามารถใช้ข้อมูลนี้จูงใจผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้เปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงเห็นวิธีการแก้ไขปัญหา เช่น การปิดวงจรขยะด้วยการนำขยะจากกิจกรรมหนึ่งไปเป็นทรัพยากรของอีกกิจกรรมหนึ่ง ทั้งนี้ การศึกษาข้อมูลเชิงลึกไม่จำเป็นต้องทำแค่เพียงในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น สามารถทำได้ทั้งในพื้นที่เมือง บริษัท หรือระบบอุตสาหกรรม

ความท้าทายประการที่สองของไทยคือการขาดนวัตกรรม เพราะนวัตกรรมทั้งเทคโนโลยี การออกแบบ และโมเดลธุรกิจ เช่น การยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ การซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ ศักยภาพการถอดประกอบ การเสนอคุณค่าใหม่ให้ลูกค้า การหาจุดทำกำไร รวมถึงแรงจูงใจให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์และส่งคืน ล้วนเป็นนวัตกรรมที่จะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนได้ ตัวอย่างเช่น Fairphone แบรนด์สินค้าที่ใช้นวัตกรรมในการถอดประกอบได้ดี ทำให้ผู้ใช้งานสามารถถอดประกอบโทรศัพท์และเปลี่ยนส่วนที่ชำรุดเองได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทิ้งทรัพยากรทั้งหมดไปโดยไม่จำเป็น

ความท้าทายประการสุดท้ายของไทยคือ ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะการที่ประชาคมยุโรปตื่นตัวเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น ก็เนื่องจากสหภาพยุโรปมีนโยบายผลักดันให้เห็นความสำคัญของระบบเศรษฐกิจนี้ เช่นในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ออกยุทธศาสตร์ชาติมารองรับเรื่องนี้ผ่านมาตรการต่าง ๆ ทั้งการออกกฎหมาย พัฒนาความรู้และนวัตกรรม การร่วมมือระหว่างประเทศ สนับสนุนกลไกการเงินและการตลาด

จริงอยู่บริบทด้านสังคมของประเทศไทยมีความแตกต่างกับทวีปยุโรป บางคนอาจจะคิดว่าประเทศไทยควรแก้ไขปัญหาเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนและความเหลื่อมล้ำเสียก่อน จนมองว่าการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เป็นเรื่องรอง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว รอยเท้าคาร์บอนในเมืองไทยเป็นความเหลื่อมล้ำทื่เห็นได้ชัดเจน ปัจจุบันรอยเท้าคาร์บอนของไทยต่ำกว่ายุโรป ทั้ง ๆ ที่คนไทยบริโภคเยอะกว่าและสร้างขยะจำนวนมาก แต่เพราะความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง เมื่อกระจายรอยเท้าคาร์บอนต่อหัวแล้วจึงน้อยกว่าคนในยุโรป และปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็มีส่วนทำให้เกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อมและสังคมที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแนวตรงไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไทยควรทำ เพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนให้ได้ (อ่านเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนเพิ่มเติมได้ที่ เศรษฐกิจหมุนเวียน – โอกาสใหม่ของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน)

เพิ่มเติม: สามารถรับชมคลิปวิดีโอสารคดีสั้น “WATT IF EP 05 – Netherlands (Buiksloterham)” ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อุตสาหกรรมที่ถูกทิ้งร้างให้เป็นชุมชนตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular City เป็นที่แรก ณ De Ceuvel ตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในพื้นที่มีทั้งพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์ คาเฟ่ การแสดงศิลปวัฒนธรรม และอื่น ๆ

ไขข้อข้องใจ

  • เศรษฐกิจหมุนเวียนเน้นแค่การรีไซเคิลหรือเปล่า?
    – เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ได้สัมพันธ์กับแค่เรื่องการรีไซเคิลเท่านั้น อย่างพลาสติกที่คนมักมองว่านำไปรีไซเคิลได้ แต่จริง ๆ แล้วเทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติกในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ พลาสติกจึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพการหมุนเวียนน้อยมาก การเลือกใช้วัสดุอื่นที่สามารถใช้ซ้ำได้นานจึงดีกว่า
  • ระหว่างผลิตภัณฑ์ใช้ซ้ำกับผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ควรเลือกใช้อะไร?
    – เมื่อเกิดความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม หลาย ๆ ธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร มักมีความคิดที่จะเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ เช่น จานชานอ้อย แต่เมื่อคำนวณวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่ขั้นตอนการทำ แปรรูป ขนส่ง ใช้ จนไปถึงย่อยสลายแล้วพบว่า ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบปริมาณผลกระทบต่อครั้งของทั้งสองแบบผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้จะมีผลกระทบน้อยกว่า แต่เมื่อใช้ไปในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ซ้ำจะสร้างผลกระทบน้อยกว่า และบางกรณียังเป็นของที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียทรัพยากรในการผลิตใหม่อีกด้วย จึงควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ซ้ำได้มากกว่า
  • เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) และเศรษฐกิจหมุนเวียนเหมือนกันไหม?
    – ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนจะมีหลายคำนิยาม แต่ใจความสำคัญอยู่ที่การใช้ซ้ำในระยะเวลานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าของทรัพยากร แต่ในเศรษฐกิจแบ่งปัน บางครั้งพบว่าถึงแม้จะมีการแบ่งกันใช้ แต่ก็เป็นใช้งานในระยะสั้น ๆ เท่านั้น จึงส่งผลให้มีการซื้อของใหม่มากขึ้น ใช้มากขึ้น ปริมาณการผลิตก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
    – หลายคนมองว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่ 12 การบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption) เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว เศรษฐกิจหมุนเวียนครอบคลุมทุกอย่างใน SDGs มากกว่า เนื่องจากหนทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ได้ใช้แค่เพียงการพัฒนาทางเทคโนโลยีและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม แต่ต้องคำนึงถึงสังคมวัฒนธรรมด้วย
  • ธุรกิจที่ไม่มี End Product ชัดเจน เหมาะกับเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือไม่?
    – การจะเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่จำเป็นต้องมี End Product ชัดเจน อย่างเช่น งานเทศกาล DGTL ข้างต้น ซึ่งเป็นธุรกิจขายการบริการก็สามารถใช้ระบบนี้ได้ โดยที่สนับสนุนระบบหมุนเวียน ธุรกิจที่ไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ เช่น โทรคมนาคมหรือธนาคาร จึงสามารถส่งเสริมระบบนี้ได้เช่นกัน ผ่านการจัดการ ปิดวงจรขยะในสำนักงาน หรือส่งเสริมธุรกิจอื่นให้เป็นแบบหมุนเวียน
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้ที่ไหน?
    – วิธีที่ง่ายที่สุดคือศึกษางานวิจัยของธุรกิจที่ใกล้เคียง แต่ถ้าต้องการข้อมูลเชิงลึกก็ต้องวิเคราะห์ข้อมูลชั้นต้นของธุรกิจตัวเอง และถ้าไม่ได้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากก็ไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังสามารถขอสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ได้
  • บล็อคเชน (Blockchain) จะช่วยเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างไร?
    – บล็อคเชนช่วยเรื่องความโปร่งใสในระบบสินค้า เนื่องจากเห็นข้อมูลต้นน้ำถึงปลายน้ำว่าใครทำอะไรผ่านบล็อคเชน และช่วยกระจายศูนย์ระบบพลังงานมากขึ้น พื้นที่ห่างไกลก็เข้าถึงได้ผ่านการใช้อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน บางที่ใช้บล็อคเชนแลกเป็นตัวเงินสำหรับซื้อของ ทั้งนี้ การใช้บล็อคเชนก็ขึ้นอยู่กับองค์กรด้วยว่าลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานหรือเปล่า
  • การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคทำได้แค่ไหน? และอย่างไร?
    – เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกคนทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย สิ่งสำคัญคือการสร้างแรงจูงใจ ทำให้ลูกค้าเห็นความสำคัญ และราคาต้องเป็นมิตรต่อทั้งสองฝ่าย ผู้ขายก็อยู่ในจุดที่ได้กำไรและผู้ซื้อสามารถซื้อได้ หลายแบรนด์ก็หันมาใช้วิธีการเสนอคุณค่า (Value Proposition) สร้างเรื่องราวให้แบรนด์ตัวเอง เช่น แบรนด์ Patagonia ที่เปลี่ยนจากจุดขายว่าเป็นของใหม่ที่สุดหรือแพงที่สุด ไปเป็นของที่เก็บความทรงจำของผู้ใช้อยู่ด้วยมากที่สุด ทำให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ได้นาน ฉะนั้นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือต้องรู้จักกลุ่มลูกค้าของตน

ข้อมูล: ภาคภูมิ โกเมศโสภา
งาน “B Talk ครั้งที่ 9 What’s Circular Economy? ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ คืออะไร?” วันที่ 20 ธันวาคม 2561

ที่มารูปภาพ:
ภาพ 1 Earth overshoot day จาก AFP News Agency
ภาพ 2 Value hill จาก Circle economy
ภาพ 3 Biological & technical nutrient จาก Ministry of the environment of New Zealand
ภาพ 4 จาก Fairphone
ภาพ 5 Circular economy framework จาก Ellen Macarthur Foundation