เราคงพอนึกภาพออกว่าการแข่งขันกีฬาทั้งรายการใหญ่ อย่างโอลิมปิก ฟุตบอลโลก หรือการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างไร แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการจัดแข่งขันกีฬาเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยบางคนอาจจะนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
ผลการศึกษาของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) ในปี ค.ศ. 2005 พบว่าการจัดการแข่งขันกีฬาอาจจะก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ เสียง ดิน อากาศ และอาจส่งผลกระทบต่อ สุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทรัพยากร และพลังงาน อันเนื่องมาจากขยะและของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน
ถ้ายังนึกถึงผลกระทบไม่ออกอาจจะต้อง ลองนึกถึงการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่ สำหรับรองรับคนจำนวนมหาศาลที่จะเข้ามาชมกีฬา และผู้ชมหลายหมื่นคนที่ซื้อน้ำและอาหารเข้ามารับประทานระหว่างการแข่งขัน เพราะหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลงถุงพลาสติก แก้วกระดาษ และภาชนะพลาสติกใส่อาหารทั้งหลาย ก็จะกลายเป็นขยะจำนวนมหาศาล ซึ่งหากขาดการดูแลและจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ขยะเหล่านั้นก็จะสร้างปัญหาและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน
ดังรายงานการวิจัยของนาย ชาร์ลส ชมิดท์ (Schmidt, 2006) เมื่อปี ค.ศ. 2006 ที่ได้ผลลัพธ์สอดคล้องกับรายงานของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล โดยผลการวิจัยระบุว่าการจัดการแข่งขันกีฬาก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลากหลายส่วน เช่น จากการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่และระบบนิเวศเดิมให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับจัดแข่งขัน การใช้พลังงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล และขยะจำนวนมาก อย่างเช่น การแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอลหรือซุปเปอร์โบว์ลในปี ค.ศ. 2006 ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากถึง 500 ตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในขณะที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์ ในปี ค.ศ. 2004 เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 5 แสนตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในเวลาสองสัปดาห์ หรือเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเมืองที่มีพลเมือง 1 ล้านคนในระยะเวลาเท่ากัน ส่วนฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 2006 มีการใช้พลังงานในการจัดการแข่งขันทั้งหมดถึง 3 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของครอบครัวคนในยุโรปถึง 700 ครัวเรือนด้วยกัน นอกจากนั้นยังสร้างขยะอีกกว่า 10,000 กิโลกรัม จะเห็นว่าผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจะเพิ่มขึ้นตามขนาดของการจัดแข่งขันกีฬา ถ้าเป็นรายการใหญ่และมีผู้เข้าร่วมมากผลกระทบยิ่งสูง
แต่ใช่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนิ่งดูดาย เพราะคณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้ร่วมมือกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) จัดทำคู่มือการจัดแข่งขันกีฬาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Olympic Movement Agenda 21: Sport for sustainable development ขึ้นในปี ค.ศ. 1994 เนื้อหาของคู่มือนี้พัฒนามาจากผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปี ค.ศ. 1992 ที่รณรงค์ให้ประเทศสมาชิกหันมาตื่นตัวและใส่ใจกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรมากขึ้น โดยนอกจากจะเน้นย้ำไปที่การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศที่จัดการแข่งขันแล้ว ยังให้ความสำคัญกับ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกเพิ่มบทบาทในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะ ด้านสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังประกาศให้สิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในสามคุณค่าหลักของโอลิมปิกนิยม (the third pillars of Olympism) ร่วมกับคุณค่าด้านกีฬาและวัฒนธรรม
อย่างไรก็ดี การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกที่นำเอาแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ คือ โอลิมปิกที่บาร์เซโลน่า ในปี ค.ศ. 1992 โดยผู้จัดการแข่งขันได้นำเอาแนวคิด “การออกแบบสีเขียว” มาใช้ในการก่อสร้างหมู่บ้านนักกีฬา และหลังจากที่มีการจัดทำคู่มือการแข่งขันกีฬาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนออกมาแล้ว ซิดนีย์ก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี ค.ศ. 2000 จากแผนที่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ต่อมาคณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้เพิ่มดีกรีความยั่งยืนในวงการกีฬาให้เข้มข้นมากขึ้น ด้วยการเซ็นข้อตกลงร่วมมือกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วย “การจัดกิจกรรมที่เสริมสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมในการแข่งขันกีฬาให้กับประชาชน” รวมทั้งยังจัดตั้งคณะกรรมการกีฬาและสิ่งแวดล้อม (Sport and Environment Commission) เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในการแข่งขันกีฬาขึ้นมาโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ที่ต้องการยื่นประมูลขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ต้องให้ความสนใจประเด็นด้านความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการจัดการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น
ดังจะเห็นได้ว่าในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในปี ค.ศ. 2004 และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ตูริน ประเทศอิตาลี มีการยกระดับมาตรฐานการจัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นกว่าโอลิมปิกครั้งก่อนๆ แม้ว่าจะยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายๆ ด้านอยู่ก็ตาม เช่น การริเริ่มโครงการคาร์บอนสมดุล การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การนำขยะมารีไซเคิล และการใช้วัสดุที่ปราศจากสารพิษในการก่อสร้างสนามแข่งขัน เป็นต้น
ส่วนตัวอย่างที่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างค่อนข้างชัดเจน เริ่มต้นที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี ค.ศ.2008 โดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันร่วมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติได้ จัดทำรายงานแผนการจัดการและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการแข่งขัน รวมถึงทำรายงานประเมินผลกระทบอย่างละเอียดหลังการแข่งขัน โดยแบ่งเป็นการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพอากาศ การขนส่ง การใช้พลังงาน การคุ้มครองพื้นที่สีเขียวเดิม การใช้น้ำและคุณภาพน้ำ การจัดการขยะ รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการก่อสร้างสนามแข่งขันในเมืองต่างๆ พบว่า โครงการลดใช้พลังงานสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1.2-1.5 ล้านตันของคาร์บอนเทียบเท่า สนามแข่งขันและหมู่บ้านนักกีฬาได้รับรางวัล LEED gold ซึ่งเป็นรางวัลที่ให้กับสิ่งก่อสร้างที่ยั่งยืนจากสถาบันพลังงานของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังสามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนได้ถึง 27 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
แต่ที่อาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จในการผลักดันประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการแข่งขันกีฬาของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลจริงๆ คือการจัดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งล่าสุดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2012 ภายใต้แนวคิด “โอลิมปิกบนโลกใบเดียวกัน” (One Planet Olympics) ซึ่งทางผู้จัดอ้างว่าเป็นการแข่งขันโอลิมปิกที่ “เขียวที่สุด” เท่าที่เคยจัดมา โดยทางลอนดอนได้พัฒนาแนวคิดนี้ร่วมกับ เวิลด์ ไวด์ ไลฟ์ ฟันด์ (World Wild Life Fund: WWF) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยในแผนดำเนินการได้ให้คำมั่นที่แสดงถึงความจริงใจในการผลักดันแนวคิดเรื่องความยั่งยืนถึง 76 ข้อด้วยกัน อาทิเช่น การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ การสร้างของเสียเป็นศูนย์ การขนส่งแบบยั่งยืน ใช้วัตถุดิบและอาหารที่มาจากท้องถิ่นและยั่งยืน, การใช้น้ำอย่างยั่งยืน, ความเท่าเทียมและการค้าที่เป็นธรรม เป็นต้น โดยทางผู้จัดได้นำเอามาตรฐาน ISO 20121 ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดการการแข่งขันกีฬาอย่างยั่งยืน (Standard for Sustainable events management) มาใช้ รวมถึงภายหลังการแข่งขันเสร็จสิ้น ก็ยังได้จัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) เพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่าผู้จัดการแข่งขันสามารถบรรลุเป้าหมายที่ให้คำมั่นไว้มากน้อยเพียงใด
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ในการแข่งขันโอลิมปิกที่ลอนดอนลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 400,000 ตันของคาร์บอนเทียบเท่า สามารถจัดการขยะได้ 62 เปอร์เซ็นต์จากขยะทั้งหมด 10,173 ตัน โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งในจำนวนนี้ ขยะ 99 เปอร์เซ็นต์จากการติดตั้งและรื้อถอนภายในสนามแข่งขันถูกนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล ในส่วนของการเดินทางนั้น 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชม ใช้บริการขนส่งมวลชนระบบราง โดยมีผู้ใช้จักรยานในระหว่างการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมถึงยังใช้อาหารที่มาจากท้องถิ่นและมีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนถึง 15.5 ล้านมื้อ นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันประเด็นเรื่องความยั่งยืนในวงการกีฬา
จะเห็นได้ว่า การจัดการแข่งขันกีฬาอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงถ้าตั้งใจ ถึงตอนนี้ทุกคนคงรอดูว่า การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งต่อไป หรือ ริโอ 2016 จะมีมาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรการส่งเสริมความยั่งยืนต่อไปอย่างไร เพราะกรุงริโอ เดอ จาเนโร เป็นต้นกำเนิดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาและแผนปฏิบัติการ 21 ในความเห็นส่วนตัวมองว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะหากบราซิลทำสำเร็จ ก็จะยกระดับความสำคัญของความยั่งยืนในวงการกีฬาได้อย่างสวยงาม
และทำลายความเข้าใจผิดที่ว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องของประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น
อ้างอิง
http://news.bbc.co.uk/local/london/hi/people_and_places/newsid_8380000/8380518.stm
http://www.dispatch.com/content/stories/local/2011/09/04/game-plan-for-trash-a-tossup.html
Independent Environmental Assessment: Beijing 2008 Olympic Games, UNEP, 2009
London 2012 Post-Games Sustainability Report: A legacy of Change, LOC2012/SUS/1809
Olympic Movement Agenda 21, 1994
Schmidt, C. W. (2006). Putting the Earth in Play: Environmental Awareness and sports. Environment and Health Perspective, A286-A295.